การตั้งค่าข้อกำหนดในการชำระเงินสำหรับธุรกิจแบบ B2B

ระยะเวลาชำระเงินจะกำหนดว่าอีกนานเท่าไรบริษัทต้องชำระเงินสำหรับคำสั่งซื้อ คุณสามารถกำหนดระยะเวลาชำระเงินสำหรับตำแหน่งที่ตั้งบริษัทแต่ละแห่งได้ หลังจากคุณกำหนดระยะเวลาชำระเงินแล้ว ลูกค้า B2B สามารถดูระยะเวลาไดในคำสั่งซื้อที่พวกเขาสร้างไว้ผ่านร้านค้าออนไลน์

คุณยังสามารถใช้เงื่อนไขการชำระเงินได้เมื่อคุณสร้างคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินสำหรับลูกค้าที่เป็นธุรกิจแบบ B2B

เพื่อให้คุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการชำระเงิน คุณสามารถตั้งค่าข้อกำหนดเงินมัดจำโดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดการชำระเงิน การดำเนินการนี้ช่วยให้คุณสามารถรับชำระเงินบางส่วนสำหรับคำสั่งซื้อเมื่อสร้างไว้ และรับส่วนที่เหลือในภายหลัง สามารถตั้งค่าข้อกำหนดเงินมัดจำได้ในตำแหน่งที่ตั้งบริษัทใดก็ได้ รวมถึงคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงิน

ประเภทข้อกำหนดในการชำระเงิน

คุณสามารถตั้งค่าระยะเวลาชำระเงินที่แตกต่างกันสำหรับตำแหน่งที่ตั้งบริษัทและคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินที่ต่างกันได้

ตรวจสอบตารางต่อไปนี้เพื่อดูระยะเวลาชำระเงินต่างๆ ที่คุณสามารถตั้งค่าสำหรับตำแหน่งที่ตั้งบริษัทและในคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินได้

ประเภทข้อกำหนดในการชำระเงิน
ข้อกำหนดในการชำระเงินคำอธิบายสามารถตั้งค่าได้
ไม่มีระยะเวลาในการชำระเงินการชำระเงินครบกำหนดทันที นี่คือการตั้งค่าเริ่มต้นตำแหน่งที่ตั้งบริษัทและคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินแต่ละรายการ
สุทธิ (ช่วงเวลา)
  • การชำระเงินจะครบกำหนดภายในช่วงเวลาที่คุณเลือก ระยะเวลาที่เลือกใช้ได้คือ สุทธิ 7, สุทธิ 15, สุทธิ 30, สุทธิ 45, สุทธิ 60 และสุทธิ 90 วัน ระยะเวลาทั้งหมดเริ่มตั้งแต่วันที่สร้างคำสั่งซื้อ
    ตัวอย่างเช่น หากคุณเลือกสุทธิ 30 วัน ลูกค้าจะต้องชำระเงินสำหรับคำสั่งซื้อภายใน 30 วัน
  • ตำแหน่งที่ตั้งบริษัทและคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินแต่ละรายการ
    ครบกำหนดเมื่อมีการจัดการคำสั่งซื้อ
  • การชำระเงินจะครบกำหนดหลังจากสินค้าทุกรายการในคำสั่งซื้อนี้มีการจัดการแล้ว
  • ตำแหน่งที่ตั้งบริษัทและคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินแต่ละรายการ
    วันที่กำหนด
  • การชำระเงินจะครบกำหนดตามวันที่บนปฏิทินไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต
    เช่น การชำระเงินจะครบกำหนดในวันที่ 27 มกราคม 2026
  • คำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินแต่ละรายการ

    ตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงินสำหรับตำแหน่งที่ตั้งของบริษัท

    คุณสามารถตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงินสำหรับตำแหน่งที่ตั้งบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้

    ขั้นตอนมีดังนี้

    1. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ลูกค้า > บริษัท

    2. คลิก "บริษัท" ที่คุณต้องการตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงิน

    3. ในส่วนตำแหน่งที่ตั้ง คลิก "ตำแหน่งที่ตั้งของบริษัท" ที่คุณต้องการตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงิน

    4. ในส่วนข้อกำหนดในการชำระเงิน ให้คลิกที่ไอคอนรูปดินสอ

    5. จากเมนูดรอปดาวน์ เลือกประเภทข้อกำหนดในการชำระเงิน

    6. ตัวเลือกเสริม: ตั้งค่าเงินมัดจำสำหรับข้อกำหนดการชำระเงินของคุณ:

      1. เลือกต้องวางเงินมัดจำเมื่อสร้างคำสั่งซื้อผ่านขั้นตอนการชำระเงิน
      2. ป้อนข้อกำหนดเงินมัดจำเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น 20%
    7. แล้วคลิกที่บันทึก

    ตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงินสำหรับบริษัท

    คุณสามารถตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงินสำหรับตำแหน่งที่ตั้งทั้งหมดในบริษัทได้

    ขั้นตอนมีดังนี้

    1. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ลูกค้า > บริษัท

    2. คลิก "บริษัท" ที่คุณต้องการตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงิน

    3. ในส่วนข้อกำหนดในการชำระเงิน ให้คลิกที่ไอคอนรูปดินสอ

    4. จากเมนูดรอปดาวน์ เลือกประเภทข้อกำหนดในการชำระเงิน

    5. ตัวเลือกเสริม: ตั้งค่าเงินมัดจำสำหรับข้อกำหนดการชำระเงินของคุณ:

      1. เลือกต้องวางเงินมัดจำเมื่อสร้างคำสั่งซื้อผ่านขั้นตอนการชำระเงิน
      2. ป้อนข้อกำหนดเงินมัดจำเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น 20%
    6. แล้วคลิกที่บันทึก

    ตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงินสำหรับบริษัทต่างๆ หลายรายการในครั้งเดียว

    คุณสามารถตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงินสำหรับหลายบริษัทพร้อมกันได้จากหน้าบริษัท

    ขั้นตอนมีดังนี้

    1. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ลูกค้า > บริษัท

    2. ใช้ช่องทำเครื่องหมายเพื่อเลือกบริษัทที่คุณต้องการตั้งค่าข้อกำหนดการชำระเงิน

    3. คลิกแก้ไขข้อกำหนดการชำระเงิน

    4. จากเมนูดรอปดาวน์ เลือกประเภทข้อกำหนดในการชำระเงิน

    5. ตัวเลือกเสริม: ตั้งค่าเงินมัดจำสำหรับข้อกำหนดการชำระเงินของคุณ:

      1. เลือกต้องวางเงินมัดจำเมื่อสร้างคำสั่งซื้อผ่านขั้นตอนการชำระเงิน
      2. ป้อนข้อกำหนดเงินมัดจำเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น 20%
    6. แล้วคลิกที่บันทึก

    การเรียกเก็บเงินสำหรับคำสั่งซื้อตามระยะเวลาชำระเงิน

    ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรอจนกระทั่งถึงระยะเวลาชำระเงินในคำสั่งซื้อจึงจะชำระเงินได้ ในรอบระยะเวลาชำระเงิน ลูกค้า B2B สามารถเข้าสู่ระบบบัญชีผู้ใช้ เลือกคำสั่งซื้อ และชำระเงินได้โดยคลิกชำระเงินทันที ลูกค้าสามารถดำเนินการนี้ได้ตลอดเวลาหลังจากสร้างคำสั่งซื้อจนถึงวันครบกำหนด หลังจากที่ครบระยะเวลาแล้ว ลูกค้ายังคงสามารถชำระเงินได้ แต่คำสั่งซื้อจะแสดงสถานะเกินกำหนดในบัญชีผู้ใช้ของลูกค้า

    การชำระเงินจะไม่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติเมื่อครบระยะเวลาชำระเงิน ตัวอย่างเช่น หากลูกค้า B2B บันทึกบัตรเครดิตสำหรับคำสั่งซื้อ คุณจะต้องบันทึกการชำระเงินด้วยตนเองโดยเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิตนั้นในส่วนผู้ดูแล Shopify

    การเพิ่มเงินมัดจำในระยะเวลาชำระเงินสำหรับ B2B

    หากคุณต้องการรับชำระเงินบางส่วนสำหรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าและรับเงินส่วนที่เหลือในภายหลัง คุณสามารถกำหนดให้มีเงินมัดจำเป็นเปอร์เซ็นต์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดการชำระเงิน ลูกค้า B2B ต้องชำระเงินมัดจำเมื่อสร้างคำสั่งซื้อในขั้นตอนชำระเงิน สามารถชำระเงินมัดจำด้วยบัตรเครดิตหรือวิธีการชำระเงินด้วยตนเอง เช่น เงินฝากธนาคารได้

    หากต้องการเรียกเก็บเงินมัดจำสำหรับคำสั่งซื้อทั้งหมด คุณสามารถตั้งค่าข้อกำหนดเงินมัดจำสำหรับทุกตำแหน่งที่ตั้งในบริษัท หรือในตำแหน่งที่ตั้งบางแห่งก็ได้ หากคุณต้องการรับเงินมัดจำในคำสั่งซื้อที่เฉพาะเจาะจง คุณก็สามารถตั้งค่าข้อกำหนดเงินมัดจำได้ในคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงิน

    หลังจากรับเงินมัดจำแล้ว สถานะการชำระเงินของคำสั่งซื้อจะเปลี่ยนเป็นชำระแล้วบางส่วนในส่วนผู้ดูแล Shopify หากลูกค้าชำระเงินมัดจำด้วยวิธีการชำระเงินด้วยตนเอง สถานะคำสั่งซื้อจะเปลี่ยนเป็นรอดำเนินการชำระเงิน จนกว่าคุณจะบันทึกการชำระเงินด้วยตนเองในคำสั่งซื้อในส่วนผู้ดูแล Shopify

    คำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินและการวางมัดจำ

    คุณสามารถเพิ่มข้อกำหนดเงินมัดจำไปยังคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินที่คุณหรือพนักงานของคุณสร้างขึ้น จากนั้นส่งใบแจ้งหนี้ไปยังลูกค้าเพื่อขอรับชำระเงินมัดจำ

    หากตั้งค่าตำแหน่งที่ตั้งบริษัทให้ส่งคำสั่งซื้อเพื่อตรวจสอบและมีข้อกำหนดเงินมัดจำ ระบบจะแสดงจำนวนเงินมัดจำให้ลูกค้าในขั้นตอนชำระเงิน แต่จะไม่เรียกเก็บในทันที ระบบจะส่งคำสั่งซื้อเป็นคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินเพื่อให้คุณตรวจสอบ หลังจากคุณยืนยันคำสั่งซื้อแล้ว คุณสามารถเรียกเก็บเครดติสำหรับเงินมัดจำ บันทึกการชำระเงินที่ได้รับโดยวิธีการชำระเงินด้วยตนเอง หรือส่งใบแจ้งหนี้ไปยังลูกค้าเพื่อการชำระเงิน หลังจากบันทึกการชำระเงินแล้ว สถานะการชำระเงินของคำสั่งซื้อจะเปลี่ยนเป็นชำระบางส่วน

    ประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าสำหรับเงินมัดจำ B2B

    ลูกค้าสามารถดูจำนวนเงินมัดจำและวันครบกำหนดชำระยอดคงค้างในขั้นตอนชำระเงิน ในหน้าขอบคุณ และเมื่อพวกเขาดูคำสั่งซื้อในบัญชีผู้ใช้ของลูกค้า หากคุณหรือพนักงานของคุณสร้างคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินด้วยเงินมัดจำ จำนวนเงินมัดจำจะแสดงในใบแจ้งหนี้ที่คุณส่งไปยังลูกค้าด้วยเช่นกัน

    อัปเดตอีเมลแจ้งเตือนใบแจ้งหนี้คำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินสำหรับการวางเงินมัดจำ

    หากร้านค้าของคุณใช้เทมเพลตการแจ้งเตือนแบบปรับแต่งเอง คุณอาจจำเป็นต้องอัปเดตการแจ้งเตือนใบแจ้งหนี้คำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินด้วยตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าเงินมัดจำแสดงในการแจ้งเตือนใบแจ้งหนี้คำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงิน

    การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จำเป็นต้องมีความคุ้นเคยกับโค้ดที่ใช้ในเทมเพลตการแจ้งเตือนของ Shopify หากเทมเพลตของคุณมีการปรับแต่งจำนวนมากและไม่แน่ใจว่าจะลงมือเปลี่ยนแปลงที่จําเป็นได้อย่างไร ให้ติดต่อผู้พัฒนาที่เป็นผู้ทำการเปลี่ยนแปลงนั้น หรือคลิกที่ “เปลี่ยนกลับเป็นค่าเริ่มต้น” เพื่อกู้คืนเทมเพลตให้กลับไปเป็นสถานะดั้งเดิม การเปลี่ยนกลับเป็นค่าเริ่มต้นจะลบการปรับแต่งทั้งหมดที่คุณเคยทำไว้ แต่การเปลี่ยนกลับเป็นค่าเริ่มต้นจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเทมเพลตของคุณจะเป็นเวอร์ชันล่าสุด

    ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้สำรองข้อมูลเทมเพลตของคุณโดยคัดลอกและวางในเอกสารอื่น เช่น Google Docs หลังจากที่ทำการเปลี่ยนแปลงแล้ว ให้คลิกดูตัวอย่าง เพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของคุณและตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นไปตามที่คาดไว้ก่อนที่คุณจะคลิกบันทึก

    ขั้นตอนมีดังนี้

    1. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่การตั้งค่า > การแจ้งเตือน

    2. คลิกที่การแจ้งเตือนลูกค้า

    3. ในส่วนการประมวลผลคำสั่งซื้อ ให้คลิก "ใบแจ้งหนี้คำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงิน"

    4. คลิก "แก้ไขโค้ด"

    5. ค้นหาส่วนของโค้ดที่ขึ้นต้นด้วย {% if payment_terms %} จากนั้นเปลี่ยนส่วนดังกล่าวด้านล่างจนถึง {% endif %} ด้วยส่วนย่อยของโค้ดต่อไปนี้

    <tr class="subtotal-line">
      <td class="subtotal-line__title">
        <p>
          <span>Total due today</span>
        </p>
      </td>
      <td class="subtotal-line__value">
          <strong>{{ amount_due_now | money_with_currency }}</strong>
      </td>
    </tr>
    
            <div class="payment-terms">
              {% assign next_payment = payment_terms.next_payment %}
              {% assign due_at_date = next_payment.due_at | date: format: 'date' %}
              {% assign next_amount_due = total_price | minus: amount_due_now %}
    
              {% if payment_terms.type == 'receipt' %}
    
    <tr class="subtotal-line">
      <td class="subtotal-line__title">
        <p>
          <span>Total due on receipt</span>
        </p>
      </td>
      <td class="subtotal-line__value">
          <strong>{{ next_amount_due | money_with_currency }}</strong>
      </td>
    </tr>
    
              {% elsif payment_terms.type == 'fulfillment' %}
    
    <tr class="subtotal-line">
      <td class="subtotal-line__title">
        <p>
          <span>Total due on fulfillment</span>
        </p>
      </td>
      <td class="subtotal-line__value">
          <strong>{{ next_amount_due | money_with_currency }}</strong>
      </td>
    </tr>
    
              {% else %}
    
    <tr class="subtotal-line">
      <td class="subtotal-line__title">
        <p>
          <span>Total due {{ due_at_date }}</span>
        </p>
      </td>
      <td class="subtotal-line__value">
          <strong>{{ next_amount_due | money_with_currency }}</strong>
      </td>
    </tr>
    1. ตัวเลือกเสริม: หากต้องการดูตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของคุณ คลิกที่ดูตัวอย่าง
    2. แล้วคลิกที่บันทึก
    ไม่พบคำตอบที่คุณต้องการงั้นหรือ เราพร้อมช่วยเหลือคุณ