การจัดการการขายที่เพิ่มขึ้น

แม้ว่ายอดขายมากเกินไปมักจะเรียกว่า “ปัญหาที่ทุกคนอยากมี” แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ธุรกิจต้องจัดการเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจ

ปัญหานี้มีวิธีแก้ไขหลายหลายแบบ แต่สามารถนำไปใช้กับสถานการณ์ของคุณได้เพียงบางวิธีเท่านั้น ดูกลยุทธ์ด้านล่างเพื่อตรวจสอบว่ามีวิธีใดเหมาะกับธุรกิจของคุณหรือไม่

จำกัดคำสั่งซื้อ

การจำกัดจำนวนยอดขายที่คุณอนุญาตในแต่ละวันจะช่วยให้คำสั่งซื้อของคุณอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้สินค้าของคุณรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้นซึ่งสามารถช่วยในการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

อีกวิธีหนึ่งคือการจำกัดจำนวนสินค้าที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ในหนึ่งตะกร้า

อย่างไรก็ตาม การจำกัดคำสั่งซื้ออาจทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจ หากคุณจำกัดคำสั่งซื้อของคุณในลักษณะใดก็ตาม โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าขีดจำกัดนั้นมีความชัดเจนให้ลูกค้าของคุณเห็นและแจ้งให้ทราบว่าทำไมพวกเขาไม่สามารถสั่งซื้อได้ รวมถึงควรแนะนำวิธีการที่พวกเขาจะสามารถสั่งซื้อได้ต่อไปในอนาคต คุณสามารถแจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับขีดจำกัดของคำสั่งซื้อผ่านแบนเนอร์บนหน้าแรกของคุณ เขียนข้อความในหน้าสินค้าของคุณ หรือหน้าบนเว็บไซต์ของคุณที่คุณสามารถเพิ่มไปยังเมนูร้านค้าของคุณได้

เลือกหนึ่งในสถานการณ์ต่อไปนี้เพื่อจำกัดคำสั่งซื้อ

ลบปุ่มเพิ่มลงในตะกร้าสินค้าของคุณด้วยตนเอง

หลังจากที่คุณได้รับคำสั่งซื้อตามจำนวนที่คุณต้องการในหนึ่งวัน คุณสามารถสามารถลบปุ่ม "เพิ่มลงในตะกร้าสินค้า" ในร้านค้าของคุณได้ ขั้นตอนการลบปุ่ม "เพิ่มลงในตะกร้าสินค้า" ขึ้นอยู่กับประเภทของธีมที่คุณใช้:

อย่าลืมเพิ่มปุ่มกลับเข้าไปในร้านค้าในวันถัดไปหรือเมื่อคุณพร้อมรับคำสั่งซื้อเพิ่ม

ปรับเขตการจัดส่งด้วยตนเอง

หลังจากที่คุณได้รับคำสั่งซื้อตามจำนวนที่คุณต้องการในหนึ่งวัน คุณสามารถห้ามไม่ให้ลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้าได้โดยการลบตัวเลือกอัตราค่าจัดส่ง เมื่อลูกค้าไม่สามารถเลือกอัตราค่าจัดส่งได้พวกเขาจะไม่สามารถทำการสั่งซื้อได้

วิธีอื่นๆ ที่แจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับข้อจำกัดนี้คือการเปลี่ยนข้อความแจ้งข้อผิดพลาดในธีมของคุณเมื่อไม่มีอัตราค่าจัดส่งให้เลือกในขั้นตอนการชำระเงินของคุณ

ขั้นตอน:

  1. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่การตั้งค่า > การจัดส่งและส่งมอบ

  2. สำหรับโปรไฟล์การจัดส่งแต่ละแบบ รวมถึงอัตราค่าจัดส่งทั่วไปของคุณ ให้ลบอัตราค่าจัดส่งในแต่ละเขตการจัดส่ง:

    1. ถัดจากโปรไฟล์การจัดส่ง ให้คลิก “จัดการ
    2. ถัดจากอัตราค่าจัดส่งแต่ละรายการในแต่ละเขต ให้คลิกปุ่ม “...” จากนั้นคลิก “ลบ” ทั้งนี้ อย่าลบเขตของคุณ
    3. คลิก บันทึก
  3. ตัวเลือกเสริม: ปรับแต่งข้อความแจ้งข้อผิดพลาดในธีมเมื่อไม่มีอัตราค่าจัดส่งให้เลือก:

    1. ไปที่ร้านค้าออนไลน์ > ธีม
    2. คลิกปุ่ม "..." > "แก้ไขเนื้อหาธีมเริ่มต้น"
    3. คลิกแท็บการชำระเงินและระบบ
    4. ค้นหาและแก้ไขช่องอัตราค่าจัดส่งสำหรับประกาศในประเทศและวิธีการจัดส่งไม่พร้อมใช้งาน
    5. คลิก บันทึก

อย่าลืมอัตราค่าจัดส่งกลับเข้าไปในร้านค้าในวันถัดไปหรือเมื่อคุณพร้อมรับคำสั่งซื้อเพิ่ม

เมื่อลบเขตการจัดส่ง โปรดแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าคุณไม่รับคำสั่งซื้อเพิ่มในวันดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว ลองเพิ่มแบนเนอร์ไปยังเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ลูกค้าทราบ เพื่อให้ไม่สั่งซื้อในวันดังกล่าว

กำหนดระดับสินค้าคงคลังของคุณเป็นจำนวนสูงสุดในแต่ละวัน

หากทราบว่าสามารถจัดการสินค้าคงคลังแต่ละประเภทได้เท่าไรในแต่ละวัน คุณสามารถกำหนดระดับสินค้าในแต่ละวันเป็นจำนวนดังกล่าวได้ และหากคุณตั้งค่าสินค้าไม่ให้ขายเกินจำนวน ลูกค้าก็จะไม่สามารถสั่งซื้อได้อีกหลังจากสินค้าคงคลังหมดลง

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่สินค้า > สินค้าคงคลัง
  2. ตั้งค่าสินค้าของคุณให้หยุดขายเมื่อสินค้าหมด:

    1. คลิกช่องทำเครื่องหมายด้านบนเพื่อเลือกทุกรายการสินค้าบนหน้า
    2. หากคุณมีสินค้ามากกว่า 50 รายการในร้านค้า ให้คลิก "เลือกสินค้าคงคลังทั้งหมดในร้านค้านี้"
    3. คลิก "แก้ไขหลายรายการ > คอลัมน์ > ขายต่อไปแม้สินค้าหมดสต็อก" เพื่อเพิ่มคอลัมน์นั้นไปยังเครื่องมือแก้ไขหลายรายการในครั้งเดียว
    4. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ยกเลิกการเลือกสินค้าของคุณในคอลัมน์ ขายต่อไปแม้สินค้าหมดสต็อกแล้ว
    5. คลิก บันทึก
  3. กำหนดระดับสินค้าคงคลังของคุณ

    • หากมีสินค้าเพียงไม่กี่หน้า คุณสามารถกำหนดระดับสินค้าคงคลังแต่ละประเภทได้ในส่วน admin
      1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่สินค้า > สินค้าคงคลัง
      2. แก้ไขจำนวนที่พร้อมจำหน่ายเป็นจำนวนที่คุณสามารถขายได้ในหนึ่งวัน
      3. คลิก บันทึก

- หากสินค้ามีหลายหน้า ให้กำหนดระดับสินค้าคงคลังโดยใช้ไฟล์ CSV 1. คลิกส่งออก หากคุณส่งออกสินค้าสูงสุดหนึ่งหน้า (สินค้าสูงสุด 50 รายการ) เบราว์เซอร์ของคุณจะดาวน์โหลดไฟล์ CSV ดังกล่าว หากคุณส่งออกสินค้ามากกว่าหนึ่งหน้า (สินค้า 51 รายการขึ้นไป) ระบบจะส่งไฟล์ CSV ดังกล่าวผ่านทางอีเมลให้คุณ หากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของร้านค้า ไฟล์ดังกล่าวจะถูกส่งไปยังอีเมลของเจ้าของร้านค้าด้วย 2. เปิดไฟล์ CSV ในโปรแกรมสเปรดชีตเช่น Google ชีต 3. คัดลอกไฟล์สำรองไว้ คุณต้องใช้ไฟล์ต้นฉบับเพื่ออัปโหลดลงในร้านค้า Shopify เมื่อต้องการคืนระดับสินค้าคงคลังเป็นระดับเดิม 4. ในไฟล์ที่คัดลอกไว้ ให้กำหนดสินค้าคงคลังในสินค้าและตัวเลือกสินค้าแต่ละรายการแล้วทำการบันทึกไฟล์ 5. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่สินค้า > สินค้าคงคลัง 6. คลิกที่นำเข้า 7. เพิ่มไฟล์ CSV ที่อัปเดตแล้วจากนั้นคลิกอัปโหลดไฟล์

เมื่อสินค้าคงคลังของคุณหมด ลูกค้าจะไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าดังกล่าวได้อีก เพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าเมื่อใดสินค้าของคุณพร้อมจำหน่ายอีกครั้ง ลองติดตั้งแอปที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกรับอีเมลแจ้งเตือนเมื่อคุณเพิ่มสินค้ากลับเข้าคลัง หากต้องการดูแอปที่มีให้บริการ โปรดดูที่Shopify App Store

กำหนดระดับสินค้าคงคลังเป็นศูนย์

หลังจากที่คุณได้รับคำสั่งซื้อตามจำนวนที่คุณต้องการในหนึ่งวัน คุณสามารถห้ามไม่ให้ลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้าได้โดยการลบตัวเลือกอัตราค่าจัดส่งในสินค้าแต่ละประเภท

เพื่อให้วิธีนี้ได้ผลดี ดำเนินการตรวจสอบว่าไม่มีการตั้งค่าในธีม เงื่อนไขในคอลเลกชัน หรือแอปในร้านค้าที่ซ่อนสินค้าที่หมดสต็อก เนื่องจากหากคุณซ่อนสินค้าที่หมดสต็อกและกำหนดระดับสินค้าคงคลังเป็นศูนย์ ลูกค้าจะไม่สามารถเห็นสินค้าใดๆ ในเว็บไซต์ของคุณได้ นอกจากนี้คุณต้องตรวจสอบว่ามีการตั้งค่าสินค้าของคุณห้ามไม่ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าที่หมดสต็อก

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่สินค้า > สินค้าคงคลัง
  2. ตั้งค่าสินค้าของคุณให้หยุดขายเมื่อสินค้าหมด:

    1. คลิกช่องทำเครื่องหมายด้านบนเพื่อเลือกทุกรายการสินค้าบนหน้า
    2. หากคุณมีสินค้ามากกว่า 50 รายการในร้านค้า ให้คลิก "เลือกสินค้าคงคลังทั้งหมดในร้านค้านี้"
    3. คลิก "แก้ไขหลายรายการ > คอลัมน์ > ขายต่อไปแม้สินค้าหมดสต็อก" เพื่อเพิ่มคอลัมน์นั้นไปยังเครื่องมือแก้ไขหลายรายการในครั้งเดียว
    4. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ยกเลิกการเลือกสินค้าของคุณในคอลัมน์ ขายต่อไปแม้สินค้าหมดสต็อกแล้ว
    5. คลิก บันทึก
  3. กำหนดระดับสินค้าคงคลังเป็นศูนย์โดยปฏิบัติดังนี้

    • หากมีสินค้าเพียงไม่กี่หน้า คุณสามารถกำหนดระดับสินค้าคงคลังแต่ละประเภทเป็น 0 ได้ในส่วน admin
      1. คลิกช่องทำเครื่องหมายด้านบนเพื่อเลือกทุกรายการสินค้าบนหน้า
      2. คลิก "อัปเดตจำนวน"
      3. คลิกตั้งค่าแล้วป้อน 0 จากนั้นคลิกบันทึก
      4. ทําซ้ำขั้นตอนเหล่านี้กับสินค้าแต่ละหน้า

- หากสินค้ามีหลายหน้า ให้กำหนดระดับสินค้าคงคลังเป็น 0 โดยใช้ไฟล์ CSV 1. คลิกส่งออก หากคุณส่งออกสินค้าสูงสุดหนึ่งหน้า (สินค้าสูงสุด 50 รายการ) เบราว์เซอร์ของคุณจะดาวน์โหลดไฟล์ CSV ดังกล่าว หากคุณส่งออกสินค้ามากกว่าหนึ่งหน้า (สินค้า 51 รายการขึ้นไป) ระบบจะส่งไฟล์ CSV ดังกล่าวผ่านทางอีเมลให้คุณ หากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของร้านค้า ไฟล์ดังกล่าวจะถูกส่งไปยังอีเมลของเจ้าของร้านค้าด้วย 2. เปิดไฟล์ CSV ในโปรแกรมสเปรดชีตเช่น Google ชีต 3. คัดลอกไฟล์สำรองไว้ คุณต้องใช้ไฟล์ต้นฉบับเพื่ออัปโหลดลงในร้านค้า Shopify เมื่อต้องการคืนระดับสินค้าคงคลังเป็นระดับเดิม 4. ในไฟล์ที่คัดลอกไว้ ให้กำหนดสินค้าคงคลังในสินค้าและตัวเลือกสินค้าแต่ละรายการเป็น 0 แล้วทำการบันทึกไฟล์ 5. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่สินค้า > สินค้าคงคลัง 6. คลิกที่นำเข้า 7. เพิ่มไฟล์ CSV ที่อัปเดตแล้วจากนั้นคลิกอัปโหลดไฟล์

เมื่อคุณต้องการคืนระดับสินค้าคงคลังเป็นจำนวนเดิม ให้อัปโหลดไฟล์ CSV ต้นฉบับที่คุณดาวน์โหลดไว้

ลองติดตั้งแอปที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกรับอีเมลแจ้งเตือนเมื่อคุณเพิ่มสินค้ากลับเข้าคลัง หากต้องการดูแอปที่มีให้บริการ โปรดดูที่Shopify App Store

เพิ่มแอปตะกร้าสินค้าสูงสุด

แอปตะกร้าสินค้าสูงสุดสามารถช่วยจำกัดจำนวนสินค้าที่ลูกค้าสามารถเพิ่มไปยังตะกร้าสินค้าของพวกเขาในคำสั่งซื้อเดียวได้

ขั้นตอน:

  1. ไปที่ Shopify App Store
  2. ค้นหาแอปที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
  3. คลิกเพิ่มแอป
  4. ปฏิบัติตามคำแนะนำในการติดตั้งของแอป

เตรียมตัวรับมือกับคำขอความช่วยเหลือที่เพิ่มขึ้น

คำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นมักจะนำไปสู่คำขอความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น การใช้งานแพลตฟอร์มบริการลูกค้าที่คุณสามารถสร้างเทมเพลตอีเมล หรือคำสั่งต่างๆ ได้จะช่วยให้คุณมอบความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตอบคำถามที่เกี่ยวกับความช่วยเหลือต่างๆ อย่างคำถามที่พบบ่อยในเว็บไซต์ในเชิงรุกถือเป็นวิธีการจัดการกับคำขอความช่วยเหลือที่ได้ผลดี คำถามที่พบบ่อยจะช่วยให้ลูกค้าได้รับคำถามอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้คุณยังสามารถแนบ URL ระหว่างสนทนาช่วยเหลือเพื่อให้ลูกค้าอ่านดูข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกด้วย

แพลตฟอร์มบริการลูกค้า

มีแพลตฟอร์มบริการลูกค้าหลากหลายตัวให้คุณเลือกใช้งาน โดยคุณสามารถเลือกดูบางแพลตฟอร์มได้ใน Shopify App Store ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้จะผสานการทำงานกับ Shopify ได้โดยตรงเพื่อมอบการจัดการคำขอความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สร้างเทมเพลตสำหรับคำถามทั่วไป เช่น อัปเดตสถานะการจัดส่ง คำขอคืนเงิน หรือการสอบถามสินค้า ตั้งค่าการตอบกลับอัตโนมัติพร้อมเวลาตอบกลับที่ต้องการและคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรหากไม่ได้รับคำตอบภายในเวลาที่กำหนด

สร้างหน้าคำถามที่พบบ่อย

  1. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ร้านค้าออนไลน์ > หน้า
  2. คลิกเพิ่มหน้า
  3. เพิ่มชื่อและกรอกเนื้อหาของหน้า
  1. คลิก บันทึก

หากต้องการเพิ่มหน้าคำถามที่พบบ่อยลงในเมนูเว็บไซต์ของคุณ โปรดดูที่เพิ่มรายการเมนู

ดาวน์โหลดแอปคำถามที่พบบ่อย

แอปต่างๆ สามารถช่วยคุณสร้างหน้าคำถามที่พบบ่อยได้ครอบคลุมเกือบทุกหัวข้อผ่านฟีเจอร์เฉพาะตัว เช่น ฟังก์ชันการค้นหา และเลย์เอาต์แท็บ หากคุณต้องการใช้แอปเพื่อสร้างหน้าคำถามที่พบบ่อย ให้ไปที่ Shopify App Store

กำหนดความคาดหวังในการจัดส่งที่เหมาะสม

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าสินค้าจะส่งถึงประมาณวันไหน การกำหนดความคาดหวังที่ถูกต้องจะสามารถลดจำนวนคำขอความช่วยเหลือที่คุณได้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือในแบรนด์ และช่วยให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยเมื่อสั่งซื้อสินค้าจากธุรกิจของคุณ

คุณสามารถเพิ่มแบนเนอร์ลงในเว็บไซต์ สร้างหน้าใหม่ หรือเพิ่มนโยบายการจัดส่งไปยังร้านค้าออนไลน์ของคุณเพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลการจัดส่งของคุณได้

ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดการคำสั่งซื้อ

หากคุณรู้สึกว่าการแพ็คสินค้าและการจัดส่งคำสั่งซื้อของคุณก่อให้เกิดความล่าช้ามากที่สุด ลองร่วมมือกับคลังสินค้าในพื้นที่ คุณสามารถเพิ่มพวกเขาเป็นบริการจัดการคำสั่งซื้อที่กำหนดเองเพื่อให้พวกเขาได้รับคำสั่งซื้อของคุณผ่านทางอีเมลและสามารถบรรจุภัณฑ์และจัดส่งคำสั่งซื้อของคุณได้ในนามของคุณได้

หากคุณขายสินค้าในสหรัฐอเมริกาลองสมัครใช้งานเครือข่ายการจัดการสินค้าของ Shopify

ใช้ Shopify Shipping

หากคุณอยู่ในแคนาดาหรือสหรัฐฯ คุณสามารถใช้ Shopify Shipping เพื่อพิมพ์ใบจ่าหน้าสำหรับการจัดส่งได้ที่บ้าน และขอให้ผู้ให้บริการขนส่งมารับสินค้าของคุณเมื่อพร้อมจะส่งสินค้าออกไป การดำเนินการนี้จะช่วยให้คุณประหยัดไม่ต้องเดินทางไป-กลับสถานที่ทำการไปรษณีย์ รวมถึงมอบอัตราค่าจัดส่งที่ถูกกว่าที่ทำการไปรษณีย์อีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่การจัดการการจัดส่งทั้งหมดจากบ้านหรือธุรกิจของคุณ

จ้างพนักงานใหม่

การจ้างพนักงานใหม่ให้ดำเนินการงานบางอย่างสำหรับธุรกิจจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในแต่ละวัน และเมื่อรวมกับความเชี่ยวชาญที่พนักงานใหม่มักจะเห็น นี่จะเป็นการดำเนินการที่คุ้มกับค่าจ้างเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เวลาในการแพ็คสินค้าถึง 4 ชั่วโมง ให้ลองคิดว่าคุณจะสามารถรับและประมวลผลคำสั่งซื้อใหม่ๆ ได้มากขนาดไหนหากได้เวลา 4 ชั่วโมงนั้นกลับคืนมา

เมื่อใช้งานร้านค้าออนไลน์ งานจำนวนมากสามารถดำเนินการได้จากระยะไกล ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การออกแบบเว็บไซต์ การช่วยเหลือลูกค้า และการจัดการเว็บไซต์ล้วนทำได้จากทุกที่ คุณจึงสามารถจ้างพนักงานได้จากทั่วทุกมุมโลก

คุณสามารถเพิ่มพนักงานไปยังร้านค้า Shopify ของคุณแล้วใช้สิทธิ์อนุญาตของพนักงานเพื่อให้สิทธิ์ในการเข้าถึงเฉพาะส่วนของผู้ดูแลที่พวกเขาต้องการเท่านั้น

เพื่อเริ่มต้น ลองพิจารณาหาพนักงานฟรีแลนซ์แล้วศึกษาดูว่าพวกเขาจะนำประโยชน์ใดมาสู่ธุรกิจของคุณได้บ้าง

พร้อมเริ่มต้นการขายด้วย Shopify แล้วหรือยัง

ทดลองใช้งานฟรี