ฟีเจอร์ Shopify Tax สำหรับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร
ในหน้านี้
ใบแจ้งหนี้ VAT
หากร้านค้าของคุณขายสินค้าให้แก่ลูกค้าในสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักร คุณสามารถสร้างใบแจ้งหนี้ VAT ได้ในส่วนผู้ดูแล Shopify ที่แนบมากับหน้ายืนยันคำสั่งซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าคุณยังคงปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีระหว่างประเทศ ในฐานะส่วนหนึ่งของโปรแกรมการทดลองใช้งานก่อนเปิดตัว ได้มีการปรับปรุงการคำนวณ VAT เพื่อปรับปรุงความแม่นยำ
เพื่อให้มีสิทธิ์ได้รับใบแจ้งหนี้ VAT คำสั่งซื้อจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปนี้:
- ไม่มีการคํานวณและเรียกเก็บอากรในคำสั่งซื้อ
- มีการจัดส่งคำสั่งซื้อไปยังปลายทางในสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักร
ก่อนที่คุณจะสร้างใบแจ้งหนี้ VAT โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของคุณเสร็จสมบูรณ์และเป็นปัจจุบันแล้ว
เปิดใช้งานใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มอัตโนมัติ
คุณสามารถสร้างและส่งใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มได้โดยอัตโนมัติจากส่วนผู้ดูแล Shopify ในการตั้งค่าภาษีและอากรได้
ขั้นตอนมีดังนี้
จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร
เลือกสหภาพยุโรปและ/หรือสหราชอาณาจักร
ในส่วนใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เลือกสร้างและส่งใบแจ้งหนี้เมื่อมีการสั่งซื้อ
ตัวเลือกเสริม: เลือกโลโก้แบบกำหนดเองเพื่อใส่ในใบแจ้งหนี้ของคุณ โลโก้จะนำไปใช้กับใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคใด โปรดดูการจัดการองค์ประกอบของแบรนด์สำหรับข้อกำหนดเกี่ยวกับโลโก้
ส่งใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าอีกครั้ง
ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่คำสั่งซื้อ
คลิกคำสั่งซื้อที่คุณต้องการส่งใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มอีกครั้ง
ในส่วนไทม์ไลน์หรือใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้แตะใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ส่งให้ลูกค้าไปก่อนหน้านี้
ในตัวอย่าง PDF ของใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้ดาวน์โหลด PDF แล้วส่งอีเมลให้แก่ลูกค้า
หลังจากที่คุณคลิกสร้างใบแจ้งหนี้ VAT ระบบจะสร้างใบแจ้งหนี้ VAT ในรูปแบบ PDF หากต้องการส่งใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าของคุณด้วยตนเอง ให้ดาวน์โหลดใบแจ้งหนี้ แล้วส่งอีเมลไปยังลูกค้าของคุณ
ประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า
หลังจากที่คุณสร้างใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือสร้างโดยอัตโนมัติ ใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มจะแสดงในส่วนใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มของหน้ายืนยันคำสั่งซื้อของลูกค้า หากคุณทำการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อที่ต้องใช้ใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ ใบแจ้งหนี้ใหม่จะปรากฏในส่วนใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ลูกค้าสามารถบันทึกหรือพิมพ์สำเนาใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มจาก PDF บนอุปกรณ์เดสก์ท็อป หรือโดยใช้ไอคอนแบ่งปันบนอุปกรณ์มือถือ
หมวดหมู่สินค้า
หากร้านค้าของคุณขายสินค้าให้แก่ลูกค้าในสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักร คุณสามารถใช้หมวดหมู่ภาษีสินค้าเพื่อปรับปรุงความแม่นยำของอัตรา VAT ของคุณได้
หมวดหมู่สินค้าคือป้ายกำกับที่กำหนดให้กับสินค้าหรือคอลเลกชันสินค้า หมวดหมู่สินค้าใช้เพื่อระบุว่าลูกค้าต้องเสียภาษีหรือได้รับการยกเว้นภาษีเมื่อทำการซื้อ หมวดหมู่สินค้าจะถูกเลือกจากการจำแนกผลิตภัณฑ์มาตรฐานของ Shopify ซึ่งเป็นรายการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
นอกจากนี้ หมวดหมู่สินค้ายังมีประโยชน์ในการจัดการสินค้าและสามารถใช้ในการดำเนินการต่อไปนี้ ได้แก่
- การกรองรายการสินค้าของคุณ
- การสร้างคอลเลกชันที่ดำเนินการโดยอัตโนมัติ
- การขายสินค้าในช่องทางที่ต้องใช้ประเภทสินค้าที่มีมาตรฐาน เช่น Facebook
- การเพิ่มเมตาฟิลด์หมวดหมู่ที่สามารถเชื่อมต่อกับตัวเลือกสินค้าของคุณได้
เมื่อคุณสร้างสินค้าแล้วตั้งชื่อ ระบุรายละเอียด และเพิ่มรูปภาพให้กับสินค้านั้น ระบบจะนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการสร้างหมวดหมู่ที่แนะนำให้กับสินค้าโดยอัติโนมัติ หมวดหมู่นี้เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น และไม่ควรถือว่าเป็นคำแนะนําด้านภาษี
ในหน้า หมวดหมู่สินค้า ระบบจะแสดงการแจ้งเตือนหากคุณมีสินค้าที่ไม่มีหมวดหมู่สินค้าหรือหากคุณมีคำแนะนำหมวดหมู่สินค้าที่ต้องตรวจสอบ สินค้าที่ต้องตรวจสอบจะแสดงอยู่ในแท็บใดแท็บหนึ่งต่อไปนี้:
- แท็บ “การตรวจสอบที่รอการดำเนินการ” จะแสดงสินค้าซึ่งมีหมวดหมู่สินค้าที่แนะนำ หมวดหมู่สินค้าที่แนะนำในแท็บนี้จะไม่มีผลจนกว่าคุณจะยอมรับ
- แท็บ “การเลือกที่รอการดำเนินการ” จะแสดงสินค้าที่ไม่มีคำแนะนำและต้องเลือกด้วยตนเอง
มีหลายวิธีในการนำหมวดหมู่สินค้าไปใช้กับสินค้าของคุณ ดังนี้
- เลือกและอนุมัติหมวดหมู่สินค้าทีละรายการ
- เลือกและอนุมัติหมวดหมู่สินค้าหลายรายการในครั้งเดียว
- เลือกและอนุมัติหมวดหมู่สินค้าโดยใช้ไฟล์ CSV
เลือกหรืออนุมัติหมวดหมู่สินค้แบบทีละรายการ
จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร
ในส่วนการตั้งค่าภูมิภาค ให้คลิก สหภาพยุโรป หรือ สหราชอาณาจักร
ในส่วน “การจัดการอัตราภาษี” ให้คลิก “สินค้าที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่”
ในหน้า “หมวดหมู่สินค้า” ให้ค้นหาสินค้าเพื่อเลือกหรืออนุมัติ
ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
หากระบบให้หมวดหมู่สินค้าที่แนะนำมา ให้อนุมัติคำแนะนำนั้น:
- คลิกที่เครื่องหมายถูกในช่อง “หมวดหมู่สินค้า”
- แล้วคลิกที่บันทึก
หากระบบไม่ได้ให้หมวดหมู่มาหรือหมวดหมู่นั้นต้องได้รับการแก้ไข ให้ค้นหาและเลือกหมวดหมู่สินค้า ดังนี้
- คลิกที่ “x” ในช่อง “หมวดหมู่สินค้า”
- ในช่อง “หมวดหมู่สินค้า” ให้พิมพ์คำอธิบายสินค้า
- คลิกที่หมวดหมู่สินค้าเมื่อมีการเสนอคำแนะนำที่ถูกต้อง
- แล้วคลิกที่บันทึก
เลือกหรืออนุมัติหมวดหมู่สินค้าหลายรายการในครั้งเดียว
จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร
ในส่วนการตั้งค่าภูมิภาค ให้คลิก สหภาพยุโรป หรือ สหราชอาณาจักร
ในส่วน “การจัดการอัตราภาษี” ให้คลิก “สินค้าที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่”
ในหน้า “หมวดหมู่สินค้า” ให้คลิกช่องทำเครื่องหมายถัดจากสินค้าทั้งหมดที่คุณต้องการเลือกหรืออนุมัติ
ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
หากระบบให้คำแนะนำมา ให้อนุมัติหมวดหมู่สินค้าที่แนะนำสำหรับสินค้าที่เลือกทั้งหมด:
- ที่ด้านบนรายการสินค้า ให้คลิก “ยอมรับและบันทึก”
- คลิก “ยอมรับและบันทึกทั้งหมด”
หากระบบให้คำแนะนำมาแต่ต้องมีการปรับแก้ ให้ค้นหาและเลือกหมวดหมู่สินค้าสำหรับสินค้าที่เลือกไว้ ดังนี้
- ให้พิมพ์คำอธิบายสินค้าในช่อง “หมวดหมู่สินค้า” ของรายการที่ต้องปรับแก้
- คลิกที่หมวดหมู่สินค้าเมื่อมีการเสนอคำแนะนำที่ถูกต้อง
- แล้วคลิกที่บันทึก
หากระบบไม่ได้ให้คำแนะนำมา ให้ค้นหาและเลือกหมวดหมู่สินค้าสำหรับสินค้าที่เลือกไว้ทั้งหมด:
- ที่ด้านบนรายการสินค้า ให้คลิก “เลือกหมวดหมู่”
- ในช่อง “เลือกหมวดหมู่” ให้ป้อนคำอธิบายสินค้า
- คลิกที่หมวดหมู่สินค้าเมื่อมีการเสนอคำแนะนำที่ถูกต้อง
- คลิก “ยอมรับและบันทึกทั้งหมด”
เลือกหมวดหมู่สินค้าโดยใช้ไฟล์ CSV
คุณสามารถนําเข้าหมวดหมู่สินค้าได้โดยใช้การนําเข้าสินค้าด้วยไฟล์ CSV หากต้องการตรวจสอบว่าค่าหมวดหมู่สินค้าตรงกับรายการที่กำหนดไว้ล่วงหน้าของ Shopify หรือไม่ ให้ดูที่การจำแนกผลิตภัณฑ์มาตรฐานของ Shopify
คุณสามารถดาวน์โหลดและดูไฟล์ CSV สินค้าตัวอย่างเพื่อใช้เป็นเทมเพลตได้
การคำนวณภาษีโดยใช้หมวดหมู่สินค้า
หลังจากที่คุณเลือกหมวดหมู่ให้สินค้าของคุณแล้ว ระบบจะใช้หมวดหมู่สินค้านั้นในการระบุภาระผูกพันด้านภาษีของคุณโดยอัตโนมัติ เมื่อขายสินค้าไปยังภูมิภาคแห่งใดแห่งหนึ่ง การใช้หมวดหมู่สินค้านั้นจะช่วยเพิ่มความถูกต้องในการคำนวณภาษีและลดความจำเป็นในการกำหนดภาษีเอง
หากคุณตั้งหมวดหมู่สินค้าให้แก่สินค้าที่มีการกำหนดภาษีเอง การกำหนดภาษีเองจะแทนที่การคำนวณภาษีหมวดหมู่สินค้า ซึ่งรวมไปถึง ภาษีที่กำหนดเองตามคอลเลกชัน ให้พิจารณาลบภาษีที่กำหนดเองสำหรับสินค้าที่ขัดแย้งกับหมวดหมู่สินค้าของคุณออก อย่างไรก็ตาม หากคุณทราบว่ามีกฎภาษีที่ไม่ได้คํานวณตามหมวดหมู่สินค้า ให้คงภาษีที่กำหนดเองสำหรับสินค้าของคุณไว้
คุณไม่จำเป็นต้องใช้หมวดหมู่สินค้า ซึ่งหากคุณเลือกที่จะไม่ใช้หมวดหมู่สินค้ากับสินค้าของคุณ คุณจะต้องใช้การกำหนดภาษีเอง พร้อมทั้งอัปเดตการกำหนดภาษีดังกล่าวด้วยตนเอง
ข้อจำกัด
มีบางสถานการณ์ที่ไม่สามารถใช้หมวดหมู่สินค้าในการคํานวณภาษีได้:
- ภาษีเฉพาะอุตสาหกรรมหรือภาษีเฉพาะสินค้าที่ส่งผลให้เกิดสินค้าเฉพาะรายการที่คำนวณภาษีแยกต่างหาก เช่น ค่าธรรมเนียมของเสียอิเล็กทรอนิกส์
- ภาษีที่อิงตามปริมาณ น้ำหนัก วัตถุดิบ หรือขนาด เช่น ภาษีสรรพสามิต
- ตัวเลือกสินค้าของสินค้ารายการเดียวไม่สามารถมีหมวดหมู่สินค้าที่แตกต่างกันได้
- สินค้ารวมชุดที่สร้างเป็นสินค้ารายการเดียวจะมีหมวดหมู่สินค้าเดียว
- หมวดหมู่สินค้าจะไม่ซิงค์ระหว่าง Shopify กับตลาดต่างๆ เช่น Meta หรือ Google
- สินค้าและหมวดหมู่ที่มีการกำหนดภาษีเอง
- ระบบจะไม่ใช้หมวดหมู่สินค้ากับคำสั่งซื้อที่ไม่ผ่านเกณฑ์สำหรับ Shopify Tax ซึ่งรวมถึง: - คำสั่งซื้อที่สร้างโดยแอปจากภายนอกและ API เช่น ปุ่มซื้อ, Facebook และคำสั่งซื้อของ Amazon - คำสั่งซื้อที่มีสินค้าอย่างน้อยหนึ่งรายการที่มีการกำหนดภาษีสินค้าหรืออัตราค่าจัดส่งเองที่เกี่ยวข้อง - ระบบจะไม่รวมภาษีที่พักโดยอัตโนมัติใน Shopify Tax หากคุณต้องการเพิ่มภาษีที่พักไปยังธุรกรรมของคุณ คุณจะต้องใช้ Manual Tax
การทดสอบภาษีที่คํานวณโดยใช้หมวดหมู่สินค้า
เนื่องจากไม่มีวิธีแสดงตัวอย่างอัตราภาษีที่เฉพาะเจาะจง วิธีที่ดีที่สุดคือการสร้างคำสั่งซื้อที่ยังไม่ชำระเงินเพื่อตรวจสอบความถูกต้องว่าสินค้าของคุณต้องเสียภาษีตามที่คาดไว้ หากผลการคํานวณภาษีไม่ตรงกับที่คุณคาดไว้ โปรดตรวจสอบหมวดหมู่สินค้าเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้อง หากต้องการความช่วยเหลือในการตั้งค่าหมวดหมู่สินค้าของคุณ โปรดติดต่อฝ่ายช่วยเหลือของ Shopify หากคุณไม่แน่ใจว่าคุณได้ตั้งค่าหมวดหมู่สินค้าที่ถูกต้องแล้ว ให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี
การกําหนดราคา Shopify Tax ในสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร
หากต้องการข้อมูลทั้งหมดในการกําหนดราคา Shopify Tax โปรดดูที่ หน้าภาพรวมการกําหนดราคาของทุกภูมิภาค