การพัฒนาแผนทางการตลาด
การตลาดอาจไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คุณเป็นมือใหม่ในเรื่องการขายสินค้า คุณอาจคิดว่าการตลาดเป็นสิ่งที่ซับซ้อน หรือมีค่าใช้จ่ายสูงและไม่เหมาะกับธุรกิจของคุณ หรือบางทีคุณอาจได้ลองนำเอาไอเดียบางส่วนไปใช้แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ หากคุณพบกับทางตัน การสร้างแผนทางการตลาดก็อาจจะเป็นทางออกได้
คุณอาจจะต้องใช้กลวิธีเป็นจำนวนมากในการที่จะดึงดูดและรักษาลูกค้าเอาไว้ แต่ละกลวิธีที่ว่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณ และแผนทางการตลาดก็คือสิ่งที่จะแสดงให้เห็นภาพคร่าวๆ ว่าคุณจะใช้กลยุทธ์ต่างๆ อย่างไรและเมื่อใด แผนทางการตลาดจะช่วยเหลือคุณในการตัดสินใจว่าใครคือกลุ่มผู้คนที่คุณจะพยายามเข้าถึง อะไรคือข้อความที่คุณต้องการจะสื่อ รวมถึงอะไรคือวิธีที่จะทำให้ผู้คนรู้จักและพูดถึง การทำความเข้าใจเป้าหมายทางการตลาดของคุณอาจช่วยให้คุณค้นพบกลวิธีทางการตลาดที่เหมาะสมกับร้านค้าของคุณได้อย่างง่ายดายในแต่ละช่วงของกระบวนการขายสินค้าของคุณ คุณสามารถดูขั้นตอนพื้นฐานสำหรับการเริ่มต้นใช้งานแผนทางการตลาดไ ด้ด้านล่างนี้
หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการพัฒนาแผนการตลาดของคุณ คุณสามารถจ้าง Shopify Partner ได้
ในหน้านี้
ขั้นตอนที่ 1: การกำหนดข้อความของคุณ
เมื่อมีการใช้ข้อความที่มีลักษณะสม่ำเสมอและมีเป้าหมายชัดเจนในการตลาดสำหรับร้านค้าของคุณ ลูกค้าของคุณก็จะได้รับข้อมูลที่อาจมีส่วนช่วยให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณ ในแต่ละครั้งที่คุณสร้างโฆษณาหรือเนื้อหาส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตาม คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าโฆษณาหรือเนื้อหาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแบรนด์ด้วยการใช้ข้อความของคุณ
หากต้องการพัฒนาข้อความขึ้นมา ให้ลองเขียนคำตอบสำหรับคำถามแต่ละข้อดังต่อไปนี้
- สิ่งที่ทำให้ร้านค้าของคุณพิเศษคืออะไร
- ความแตกต่างระหว่างคุณกับคู่แข่งรายอื่นเป็นอย่างไรบ้าง
- คุณมีอะไรบ้างที่จะนำเสนอให้แก่ลูกค้า
- คุณยืนหยัดในเรื่องใดบ้าง
หลังจากขั้นตอนการระดมความคิด คุณสามารถลงมือเขียนข้อความที่ใช้คำบางส่วนที่ปรากฏ ในคำตอบของคุณ ยกตัวอย่างเช่น หากสินค้าของคุณแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นเพราะว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า คุณก็อาจจะใช้คำต่างๆ อย่างเช่น green
และrecyclable
ในข้อความของคุณ
ขั้นตอนที่ 2: การทำความเข้าใจเกี่ยวกับลูกค้าของคุณ
คุณจินตนาการดูว่าลูกค้าประเภทใดที่อาจจะกำลังมองหาสินค้าของคุณอยู่ ลองพิจารณาถึงคุณสมบัติทางประชากรศาสตร์ของพวกเขาดู ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ บทบาท สถานะทางเศรษฐกิจ หรือตำแหน่งที่ตั้ง อะไรคือความท้าทายสำหรับพวกเขา อะไรคือลักษณะบุคลิกเฉพาะตัวของพวกเขา ยิ่งคุณมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของลูกค้าที่อาจจะซื้อสินค้ามากเท่าไร คุณก็ยิ่งปรับเปลี่ยนการตลาดของคุณให้เหมาะสมกับพวกเขาได้มากเท่านั้น การตลาดของคุณไม่มีทางที่จะเข้าถึงผู้คนได้ครบทั้งหมด แต่คุณจะสามารถดึงดูดลูกค้าที่มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าของคุณมากกว่าใครได้
การวิเคราะห์ยอดเข้าชมร้านค้าออนไลน์
หากร้านค้าออนไลน์ของคุณมีผู้เข้าเยี่ยมชมอยู่แล้ว คุณก็จะสามารถวิเคราะห์ยอดเข้าชมร้านค้าออนไลน์ของคุณได้ คุณสามารถใช้รายงานของ Shopify เพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับยอดขายและลูกค้าของคุณแบบเจาะลึกลงรายละเอียดได้
นอกจากนั้นคุณยังสามารถตั้งค่าบริการข้อมูลวิเคราะห์อย่างเช่น Google Analytics ได้อีกด้วย คุณสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อดูตัวอย่างวิธีที่ลูกค้าของคุณมีปฏิสัมพันธ์กับร้านค้าออนไลน์ของคุณได้ โดยต้องอาศัยการลงมือลงแรงสักเล็กน้อยในขั้นต้น
ขั้นตอนที่ 3: การเลือกกลวิธีทางการตลาด
กลวิธีทางการตลาดที่คุณเลือกใช้จะมีลักษณะเฉพาะสำหรับร้านค้าของคุณ อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับสินค้าที่คุณขาย ลูกค้าของคุณ รวมถึงแบรนด์ของคุณด้วย คุณควรที่จะเลือกกลวิธีซึ่งมีความสมเหตุสมผลกับธุรกิจของคุณ แทนที่จะพยายามทำอะไรมากจนเกินตัว
แผนทางการตลาดของคุณอาจประกอบไปด้วยกลวิธีดังต่อไปนี้เป็นบางส่วน
- การศึกษาวิจัย - การเก็บรวบรวมความคิดเห็นและการวิเคราะห์ข้อมูล
- การกำหนดราคาสินค้า - การกำหนดราคาสินค้าให้สามารถแข่งขันกับเจ้าอื่นในตลาดได้
- การลดราคาและโปรโมชัน - การเสนอส่วนลดและการวางแผนโปรโ มชัน
- การพัฒนาเนื้อหา - การสร้างเนื้อหาที่สื่อผ่านภาพหรือตัวอักษรสำหรับบล็อก โซเชียลมีเดีย หรือช่องทางอื่นๆ
- อีเมล - การส่งอีเมลที่มีแบรนด์ไปยังกลุ่มลูกค้าของคุณ
- การโฆษณา - การลงโฆษณาแบบตีพิมพ์ แบบเสียง หรือผ่านทางออนไลน์เพื่อให้สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จักและได้รับการพูดถึง
- การประชาสัมพันธ์ - บริหารจัดการชื่อเสียงและแบรนด์ของร้านค้าคุณ
- บริการลูกค้า - การส่งเสริมความภักดีของลูกค้าผ่านการให้ความช่วยเหลือ
- การมีส่วนร่วมกับชุมชน - การเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านข้อกังวลใจหรือความสนใจที่มีร่วมกัน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาเนื้อหาเพื่อใช้ในการทำการตลาดร้านค้าออนไลน์ของคุณ
ขั้นตอนที่ 4: การตั้งเป้าหมาย
คุณควรมีเป้ าหมายที่เฉพาะเจาะจงและแสดงเป็นปริมาณได้ในแต่ละครั้งที่คุณเริ่มใช้ความริเริ่มทางการตลาดใดก็ตาม หากคุณตั้งเป้าหมายเอาไว้ คุณก็จะรับรู้ได้ว่ากลวิธีทางการตลาดของคุณได้ผลสำเร็จหรือไม่ และด้วยเหตุนี้คุณจึงปรับเปลี่ยนกลวิธีดังกล่าวได้ตามความจำเป็น เป้าหมายต่างๆ จะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวก็ได้ หรืออาจจะให้ความสำคัญไปที่การดึงดูดลูกค้าใหม่ การสร้างลูกค้าที่กลับมาซื้ออีกครั้ง หรือการขายสินค้าตามจำนวนที่กำหนดก็ได้ ดังเช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้
- ลูกค้าใหม่ 250 รายใน 6 เดือน
- ยอดขายสินค้ามูลค่า 5,000 ดอลลาร์สหรัฐในระหว่างช่วงโปรโมชันที่กำหนด
- การสมัครใช้งานทางอีเมล 75 รายการ
- การเรียกคืนตะกร้าสินค้าที่ยังไม่ชำระเงินปรับปรุงดีขึ้น 20%
- ยอดขายเพิ่มมากกว่าปีก่อน 10%
การตั้งเป้าหมายอาจเป็นสิ่งที่ท้าทาย โด ยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเป็นมือใหม่ในเรื่องการขายสินค้า ให้เริ่มด้วยเป้าหมายในระยะสั้นเสียก่อน เพื่อที่คุณจะรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าคุณกำลังมุ่งไปในทิศทางที่เหมาะสมหรือไม่ เพราะการวิเคราะห์อิทธิพลของการตลาดจากเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ในระยะสั้นนั้นจะง่ายกว่า หากคุณประสบปัญหาในการบรรลุเป้าหมายทางการตลาดของคุณ ก็ให้ลองวางแผนเพื่อพิชิตเป้าหมายที่เล็กลง รวมถึงเป้าหมายใหญ่ที่ยากขึ้นอีกสักเล็กน้อย หากร้านค้าของคุณสามารถบรรลุเป้าหมาย คุณสามารถพัฒนาต่อยอดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายใหญ่ต่อไปได้
ขั้นตอนที่ 5: การเลือกช่องทางการตลาด
คุณสามารถทำการตลาดให้กับร้านค้าของคุณได้ในหลายๆ ช่องทางด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาที่ได้รับการสนับสนุน บล็อกโพสต์ ข่าวประชาสัมพันธ์ โซเชียลมีเดีย และอีเมล โดยช่องทางกา รตลาดบางช่องทางก็เหมาะสำหรับเป้าหมายระยะสั้นมากกว่า ในขณะที่ช่องทางอื่นๆ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าสำหรับการรักษาลูกค้าในระยะยาว คุณสามารถพัฒนาช่องทางแบบผสมผสานขึ้นมาเพื่อใช้ในลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันไปได้ ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้จ่ายไปกับการลงโฆษณาออนไลน์เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ และคอยลงบล็อกอย่างสม่ำเสมอเพื่อดึงดูดให้ผู้คนกลับเข้ามาเยี่ยมชมร้านค้าของคุณอีกครั้ง
ไม่ว่าคุณจะใช้เวลาหรือใช้เงินไปกับกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณก็ตาม การทำการตลาดสำหรับสินค้าของคุณย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ตั้งงบประมาณเอาไว้ก่อนที่คุณจะเลือกช่องทางการตลาดและเริ่มพัฒนาการลงโฆษณาและเนื้อหา
การใช้จ่ายสำหรับการลงโฆษณาทางออนไลน์
คุณสามารถใช้การลงโฆษณาทางออนไลน์เพื่อแนะนำสินค้าของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็น Google Ads, โฆษณาบน Facebook, โฆษณาบน Instagram หรือพินที่ได้รับการโปรโมตบน Pinterest
คุณสามารถสร้างการโฆษณาทางออนไลน์จาก Shopify โดยใช้แอปจากภายนอกและแอปการตลาดที่ผสานการทำงาน คุณ สามารถสร้างกิจกรรมทางการตลาดได้ ยกตัวอย่างเช่น โฆษณาบน Facebook และสามารถใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น แคมเปญ Performance Max ของ Google จากหน้าการตลาดใน Shopify ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างกิจกรรมทางการตลาดและการดำเนินการอัตโนมัติ ใน Shopify
ขั้นตอนที่ 6: การวิเคราะห์อิทธิพล
การวิเคราะห์อิทธิพลของการตลาดจะมีส่วนช่วยให้คุณสามารถดำเนินการตัดสินใจเกี่ยวกับความริเริ่มทางการตลาดสืบต่อไปในอนาคต รวมถึงป้องกันไม่ให้คุณต้องเสียเวลาหรือเงินไปกับการตลาดที่ไม่ได้ผล โดยคุณอาจตระหนักถึงปัญหาในเรื่องของข้อความ หรือตัดสินใจได้ว่าช่องทางการตลาดช่องทางหนึ่งไม่เหมาะสมสำหรับร้านค้าของคุณ
ในระหว่างช่วงโปรโมชันหรือแคมเปญทางการตลาด ให้คอยติดตามความคืบหน้าด้วยการแบ่งเป้าห มายของคุณแยกย่อยเป็นหลักขั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังพยายามที่จะเพิ่มยอดเข้าชมร้านค้าของคุณให้มีผู้เยี่ยมชมรายใหม่เพิ่มอีก 500 รายภายในหนึ่งเดือน คุณก็ควรที่จะแบ่งเป้าหมายที่ว่าตามรายวันหรือสัปดาห์เพื่อติดตามความคืบหน้า หากร้านค้าของคุณดูท่าว่าจะบรรลุหรือทะลุเป้าหมาย คุณก็อาจพิจารณาที่จะขยายการตลาดของคุณหรือเพิ่มเป้าหมายใหม่ไปอีก และหากร้านค้าของคุณไม่บรรลุเป้าหมาย คุณก็อาจจะสามารถดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ก่อนที่จะสิ้นสุดแคมเปญได้
เมื่อสิ้นสุดช่วงของโปรโมชันหรือแคมเปญทางการตลาด คุณควรวิเคราะห์ผลลัพธ์ โดยคุณอาจมองหารูปแบบของยอดเข้าชมร้านค้าและยอดขายสินค้า หากก่อนหน้านี้คุณได้คอยติดตามความคืบหน้าในระหว่างแคมเปญหรือโปรโมชัน และได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไข คุณก็จะสา มารถวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่ละครั้งได้ คุณสามารถดูผลลัพธ์แคมเปญการตลาดของคุณโดยใช้รายงานประสิทธิภาพการตลาดในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ
ขั้นตอนที่ 7: ทำซ้ำ
การวางแผนสำหรับการตลาดและการพัฒนากลยุทธ์ของคุณจะไม่มีวันจบสิ้น ในแต่ละครั้งที่คุณเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลวิธีทางการตลาด สินค้า ร้านค้า หรือแบรนด์ของคุณ คุณควรตรวจดูแผนทางการตลาดของคุณอีกครั้งเพื่อให้รู้ว่าจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ หรือไม่ เมื่อคุณเพิ่มพูนประสบการณ์ไปเรื่อยๆ คุณก็จะสามารถดำเนินการตัดสินใจได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากคุณมีความเข้าใจที่มากขึ้นว่าอะไรบ้างที่จะยกระดับยอดขายในร้านค้าของคุณ