การแก้ไขตัวเลือกแบบฟอร์มการชำระเงิน

คุณสามารถเปลี่ยนช่องบางช่องในหน้าการชำระเงินของคุณเพื่อให้เป็นช่องจำเป็นต้องกรอก ไม่จำเป็นต้องกรอก หรือไม่แสดงได้ ทั้งนี้ คุณไม่สามารถแก้ไขช่องแบบฟอร์มทั้งหมดได้

การตั้งค่าวิธีติดต่อลูกค้าในขั้นตอนการชำระเงิน

คุณสามารถตั้งค่าตัวเลือกการติดต่อที่จะแสดงให้ลูกค้าของคุณเห็นในขั้นตอนการเมื่อชำระเงินได้ คุณสามารถกำหนดค่าตัวเลือกต่อไปนี้ได้:

  • เลือกว่าลูกค้าจะใช้วิธีการติดต่อแบบใดในการชำระเงิน คุณสามารถเลือกจากตัวเลือกต่อไปนี้:

    • หมายเลขโทรศัพท์หรืออีเมล
    • เฉพาะอีเมล
  • หากต้องการขอให้ลูกค้าดาวน์โหลด Shop App คุณสามารถเลือกได้ว่าจะแสดงลิงก์หรือไม่

  • เลือกว่าจะให้ลูกค้าเข้าสู่ระบบบัญชีผู้ใช้ของลูกค้าก่อนการชำระเงินหรือไม่

ขั้นตอน:

  1. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ การตั้งค่า > การชำระเงิน

  2. ในส่วนวิธีการติดต่อลูกค้า ให้แก้ไขตามความเหมาะสม

  3. คลิกที่บันทึก

การตั้งค่าข้อมูลลูกค้าในขั้นตอนการชำระเงิน

ส่วนข้อมูลลูกค้าเป็นตัวตัดสินใจว่าลูกค้าต้องป้อนข้อมูลใดเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการชำระเงินคุณสามารถเปลี่ยนตัวเลือกแบบฟอร์มต่อไปนี้ได้

ตารางที่อธิบายตัวเลือกแบบฟอร์มที่มีให้แก้ไขสำหรับช่องข้อมูลลูกค้าแต่ละช่อง
ข้อมูลลูกค้าคำอธิบายตัวเลือกแบบฟอร์ม
ชื่อเต็มชื่อจริงและนามสกุลคือช่องแบบฟอร์มที่แยกกันสองช่อง คุณสามารถเปลี่ยนให้เป็นเป็นช่องแบบฟอร์มช่องเดียวได้โดยเลือก “จำเป็นต้องใส่นามสกุลเท่านั้น
  • จำเป็นต้องระบุนามสกุลเท่านั้น
  • จำเป็นต้องระบุชื่อและนามสกุล
ชื่อบริษัทหากลูกค้าป้อนข้อมูลใดลงในช่องชื่อบริษัท พวกเขาจะมีสิทธิ์เข้าถึงตัวเลือกการจัดส่งที่พร้อมใช้งานเฉพาะที่อยู่ธุรกิจเท่านั้น หากคุณไม่ได้ขายสินค้าแก่ธุรกิจ คุณจะสามารถลบช่องดังกล่าวได้โดยเลือก “ไม่รวม” ในตัวเลือกรูปแบบการชำระเงิน

หากตั้งค่าชื่อบริษัทเป็น “ต้องระบุ” ในขั้นตอนการชำระเงิน ระบบจะไม่แสดงตัวเลือกการชำระเงินแบบเร่งด่วน (เช่น Apple Pay และ Meta Pay) เป็นตัวเลือก
  • ไม่แสดง
  • ไม่จำเป็น
  • ต้องระบุ
ที่อยู่บรรทัดที่ 2 (อพาร์ทเมนต์, ยูนิต ฯลฯ)บรรทัดที่อยู่รองช่วยให้ลูกค้าสามารถป้อนตัวระบุหน่วยที่อยู่รองได้ เช่น หมายเลขอพาร์ตเมนต์, ชั้น, ยูนิต หรือแผนก ควรใช้ช่องแบบฟอร์มนี้เพื่อจุดประสงค์นี้เท่านั้นหากตั้งค่าตัวเลือกช่องแบบฟอร์มเป็น “จำเป็นต้องกรอก” หรือ “ไม่จำเป็นต้องกรอก” ลูกค้าบางรายอาจไม่สามารถดําเนินการดําเนินการซื้อต่อได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของที่อยู่
  • ไม่แสดง
  • ไม่จำเป็น
  • ต้องระบุ
หมายเลขโทรศัพท์ของที่อยู่ที่จัดส่งหากผู้ให้บริการการชำระเงินหรือผู้ให้บริการขนส่งของคุณกำหนดให้ลูกค้าต้องระบุหมายเลขโทรศัพท์ จึงจะสามารถชำระเงินให้เสร็จสิ้นได้ คุณสามารถกำหนดช่องฟอร์มหมายเลขโทรศัพท์ให้เป็นต้องระบุ หากมีลูกค้าบางรายละทิ้งตะกร้าสินค้าเนื่องจากไม่ต้องการมอบหมายเลขโทรศัพท์ของตนในขั้นตอนการชำระเงินออนไลน์ คุณสามารถกำหนดช่องฟอร์มหมายเลขโทรศัพท์ให้เป็นระบุหรือไม่ระบุก็ได้
  • ไม่แสดง
  • ไม่จำเป็น
  • ต้องระบุ

ตัวเลือกแบบฟอร์มอื่นๆ นั้นคือช่องที่จำเป็นต้องมีเสมอ ซึ่งรวมถึงตัวเลือก “บันทึกข้อมูลนี้สำหรับครั้งถัดไป” จากแบบฟอร์มการชำระเงิน

หากลูกค้าเลือกบันทึกข้อมูลนี้สำหรับครั้งถัดไปในขั้นตอนการชำระเงิน เบราว์เซอร์ของลูกค้าก็จะบันทึกข้อมูลติดต่อและที่อยู่สำหรับจัดส่งที่พวกเขาป้อนไว้สำหรับร้านค้าของคุณ เมื่อลูกค้าเข้าสู่ขั้นตอนการชำระเงินในร้านค้าคุณครั้งถัดไป เบราว์เซอร์ของพวกเขาก็จะกรอกข้อมูลติดต่อและที่อยู่สำหรับจัดส่งโดยอัตโนมัติ Shopify ไม่ได้จัดเก็บข้อมูลที่บันทึกไว้ของลูกค้า โดยเบราว์เซอร์ของลูกค้าจะแคชข้อมูลดังกล่าว หลังผ่านไปหนึ่งปี Shopify จะทำให้เบราว์เซอร์ล้างข้อมูลที่ถูกแคชของลูกค้า หากลูกค้าไม่ได้ล้างแคชไปก่อนแล้ว

ขั้นตอน:

เดสก์ท็อป
  1. ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ การตั้งค่า > การชำระเงิน

  2. ในส่วนข้อมูลลูกค้า ให้แก้ไขตามความเหมาะสม

  3. คลิกที่บันทึก

iPhone
  1. จากแอป Shopify ให้แตะที่ปุ่ม “” จากนั้นจึงแตะที่ “การตั้งค่า
  2. ในส่วนการตั้งค่าร้านค้า ให้แตะการชำระเงิน
  3. ในส่วนข้อมูลลูกค้า ให้แก้ไขตามความเหมาะสม
  4. แตะที่บันทึก
Android
  1. จากแอป Shopify ให้แตะที่ปุ่ม “” จากนั้นจึงแตะที่ “การตั้งค่า
  2. ในส่วนการตั้งค่าร้านค้า ให้แตะการชำระเงิน
  3. ในส่วนข้อมูลลูกค้า ให้แก้ไขตามความเหมาะสม
  4. แตะที่บันทึก

ตัวเลือกทางการตลาด

ส่วนตัวเลือกการตลาดจะกำหนดตัวเลือกการลงทะเบียนสำหรับการตลาดที่แสดงต่อลูกค้าระหว่างการชำระเงิน โดยคุณสามารถเปิดใช้งานตัวเลือกต่อไปนี้

  • อีเมล

    • การเปิดใช้งานเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วหมายความว่าลูกค้าต้องเลือกไม่รับการตลาดผ่านอีเมลด้วยตนเองระหว่างการชำระเงิน
  • SMS

ไม่พบคำตอบที่คุณต้องการงั้นหรือ เราพร้อมช่วยเหลือคุณ