คำถามที่พบบ่อย Shopify POS
ในหน้านี้
- Shopify POS ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ใดบ้าง
- เหตุใดฉันจึงต้องอัปเดตแอป Shopify POS ของฉัน
- ความแตกต่างระหว่าง Shopify POS กับ POS Pro ค ืออะไร
- ทำไมฉันต้องมีร้านค้า Shopify หากฉันไม่ต้องการขายออนไลน์
- ฉันต้องการอะไรนอกเหนือจากแอป
- พินพนักงานคืออะไร
- ฉันต้องขายสินค้าเดียวกันในร้านค้ากับที่ขายในออนไลน์หรือไม่
- แอปใช้งานได้ในทุกประเทศและทุกสกุลเงินหรือไม่
- เหตุใดสินค้าบางรายการ (หรือทั้งหมด) ของฉันจึงขาดหายไปจาก Shopify POS
- ฉันจะทำให้สินค้าพร้อมจำหน่ายเฉพาะใน Shopify POS ได้อย่างไร
- Shopify POS รองรับภาษาใดบ้าง
- ฉันควรอย่างไรหากเครื่องอ่านบัตร POS ถูกขโมย
- ฉันจะรักษาความปลอดภัยของเครื่องอ่านบัตรของฉันได้อย่างไร
Shopify POS ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ใดบ้าง
แอป Shopify POS จะใช้งานได้กับอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้
อุปกรณ์ | คำอธิบาย |
---|---|
iPad | รุ่นที่ 5 หรือรุ่นที่ใหม่กว่าซึ่งใช้ iPadOS 15 ขึ้นไป |
iPad Air | รุ่นที่ 2 หรือรุ่นที่ใหม่กว่าซึ่งใช้ iPadOS 15 ขึ้นไป |
iPad mini | รุ่น 4 หรือรุ่นที่ใหม่กว่าซึ่งใช้ iPadOS 15 ขึ้นไป |
iPad Pro | iPad Pro ทุกรุ่นที่ใช้ iPadOS 15 ขึ้นไป |
iPhone | iPhone 7 หรือรุ่นใหม่กว่าซึ่งใช้ iOS 15 ขึ้นไป |
POS Go | POS Go ที่ใช้งานการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ Shopify ให้ล่าสุด |
Android | โทรศัพท์หรือแท็บเล็ตที่ใช้ Android เวอร์ชัน 10.0 หรือใหม่กว่าอย่างเป็นทางการ เมื่อเปิดใช้บริการ Google Play และ Google Mobile |
แอป Shopify POS มีให้บริการสำหรับอุปกรณ์ iOS และ Android เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถใช้งานกับแล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป
เหตุใดฉันจึงต้องอัปเดตแอป Shopify POS ของฉัน
คุณจะต้องหมั่นอัปเดตแอป Shopify POS ให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบันทุกๆ 180 วันเพราะการอัปเดตซอฟต์แวร์จะทำให้คุณได้ใช้ฟีเจอร์ล่าสุดและช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจากซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยได้ เพื่อไม่ให้สูญเสียสิทธิ์ในการเข้าถึงแอป Shopify POS ให้เปิดการอัปเดตอัตโนมัติ
ความแตกต่างระหว่าง Shopify POS กับ POS Pro คืออะไร
Shopify POS คือแอประบบขายหน้า ร้านที่มีฟีเจอร์มากมายสำหรับรองรับร้านค้าปลีกที่มีหน้าร้านจริงของคุณ คุณสามารถใช้งานแอป Shopify POS ได้ในทุกแผนการสมัครใช้งาน
Shopify POS Pro เป็นส่วนขยายสำหรับ Shopify POS ที่จะปลดล็อกฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้าน เมื่อเริ่มใช้ Shopify POS คุณจะสามารถทดลองใช้ฟีเจอร์ของ Pro ได้ฟรี 3 วัน ในช่วงเวลานั้น คุณสามารถเลือกที่จะใช้งานฟีเจอร์ของเวอร์ชัน Pro สำหรับร้านค้าปลีกของคุณต่อไปได้โดยชำระค่าบริการรายเดือนเพิ่มเติม มิฉะนั้น แอปของคุณจะเปลี่ยนกลับเป็นเวอร์ชันฟรีของ Shopify POS โดยอัตโนมัติ ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ
ทำไมฉันต้องมีร้านค้า Shopify หากฉันไม่ต้องการขายออนไลน์
ร้านค้า Shopify คือที่ที่คุณสามารถจัดการข้อมูล เช่น ลูกค้า สินค้าคงคลัง และรายละเอียดบัญชีผู้ใช้ของค ุณได้ ไม่ว่าคุณขายสินค้าอะไรก็ตาม แอป Shopify POS จะจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวกับลูกค้ารวมถึงการตั้งค่าในร้านค้าให้คุณ
ฉันต้องการอะไรนอกเหนือจากแอป
คุณเพียงต้องมีอุปกรณ์ที่รองรับ แอป Shopify POS ร้านค้า Shopify (ซึ่งคุณสามารถสร้างในแอปได้) และสินค้าที่ต้องการขายเท่านั้น Shopify POS ทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ค้าปลีกได้หลากหลายประเภท เช่น ลิ้นชักเก็บเงิน แท่นวาง iPad เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ และเครื่องสแกนบาร์โค้ด แต่คุณก็สามารถดำเนินการขายได้โดยไม่ต้องมีฮาร์ดแวร์เหล่านี้ ทั้งนี้ คุณสามารถสามารถหาซื้อฮาร์ดแวร์ Shopify POS ได้จากร้านค้าฮาร์ดแวร์ของ Shopify ในบางประเทศ หากต้องการข้อมู ลเพิ่มเติม โปรดไปที่ร้านค้าฮาร์ดแวร์ของ Shopify
พินพนักงานคืออะไร
Shopify POS จะใช้พินพนักงานเพื่อเข้าถึงแอป Shopify POS ซึ่งรหัสพินก็คือหมายเลขระบุตัวตนสี่หลัก (PIN) ที่ไม่เหมือนใคร
เมื่อพนักงานที่เข้าสู่ระบบดำเนินการชำระเงินผ่าน Shopify POS ชื่อของพนักงานรายนั้นจะผูกไว้กับคำสั่งซื้อดังกล่าว ซึ่งคุณสามารถดูว่าพนักงานคนใดเป็นผู้ดำเนินการคำสั่งซื้อได้ในมุมมองรายละเอียดของคำสั่งซื้อใน Shopify POS และในไทม์ไลน์คำสั่งซื้อในส่วนผู้ดูแล Shopify
หากคุณไม่แน่ใจว่าพินที่มอบให้พนักงานคืออะไร คุณก็สามารถตั้งพินพนักงานใหม่ได้ในส่วนผู้ดูแล Shopify
ขั้นตอน:
- ในส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่การตั้งค่า
- คลิก “ผู้ใช้และสิทธิ์อนุญาต”
- คลิกที่ชื่อบัญชีผู้ใช้ของพนักงานที่คุ ณต้องการแก้ไข
- ในส่วนการเข้าถึงระบบขายหน้าร้าน ให้เปิดใช้สิทธิ์อนุญาตที่ชื่อมอบสิทธิ์การเข้าถึงระบบขายหน้าร้านให้พนักงานคนนี้
- ในส่วน “พิน” ให้ป้อนพิน 4 หลักหรือคลิก “สร้างพินใหม่” เพื่อให้พนักงานสามารถใช้รหัสพินนั้นเข้าสู่ระบบ Shopify POS ได้
- คลิกที่บันทึก
ฉันต้องขายสินค้าเดียวกันในร้านค้ากับที่ขายในออนไลน์หรือไม่
ไม่ต้อง เมื่อคุณเพิ่มสินค้าในส่วนผู้ดูแล Shopify คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการลงขายในร้านค้าจริง บนออนไลน์ หรือทั้งสองแห่ง
แอปใช้งานได้ในทุกประเทศและทุกสกุลเงินหรือไม่
เกือบทุกที่ คุณสามารถใช้ Shopify POS ได้ทั่วโลก แต่ร้านค้าของคุณต้องอยู่ในประเทศที่ Shopify มีผู้ให้บริการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตที่ รองรับ
เหตุใดสินค้าบางรายการ (หรือทั้งหมด) ของฉันจึงขาดหายไปจาก Shopify POS
หากคุณไม่ได้เพิ่มสินค้าของคุณไปยังช่องทางการขาย POS ในส่วนผู้ดูแล Shopify ระบบจะไม่ระบุชื่อสินค้าของคุณในแอป แต่หากคุณเพิ่มสินค้าแล้วแต่สินค้ายังไม่ปรากฏ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้เข้าสู่ระบบในตำแหน่งที่ตั้งที่ถูกต้อง
ฉันจะทำให้สินค้าพร้อมจำหน่ายเฉพาะใน Shopify POS ได้อย่างไร
คุณสามารถเปลี่ยนความพร้อมจำหน่ายของสินค้าได้จากหน้าสินค้า ซึ่งอยู่ในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ
หากต้องการเปลี่ยนความพร้อมจำหน่ายของสินค้าแต่ละรายการ ให้คลิกที่สินค้าและแก้ไขความพร้อมจำหน่ายของสินค้า เพื่อให้มีการเลือกการขายสินค้าเฉพาะ Point of Sale เท่านั้น คลิก “เสร็จสิ้น” จากนั้นคลิก “บันทึก”
หากต้องการเปลี่ยนความพร้อมจำหน่ายของสินค้าหลายชิ้น ให้เลือกสินค้าที่คุณต้องการแก้ไขจากนั้นคลิกการดำเนินการ แล้วเลือกทำให้สินค้าพร้อมจำหน่าย จากนั้นจึงเปลี่ยนความพร้อมจำหน่ายโดยเลือกเพียง Point of Sale เท่านั้น จากนั้นจึงคลิกทำให้สินค้าพร้อมจำหน่าย
Shopify POS รองรับภาษาใดบ้าง
Shopify POS รองรับภาษาต่อไปนี้:
- จีน (ตัวย่อ)
- จีน (ตัวเต็ม)
- ภาษาเช็ก
- เดนมาร์ก
- ดัตช์
- อังกฤษ
- ภาษาฟินแลนด์
- ฝรั่งเศส
- เยอรมัน
- ภาษาฮินดี
- อิตาลี
- ญี่ปุ่น
- ภาษาเกาหลี
- ภาษามลายู
- Norwegian Bokmal
- โปรตุเกส (บราซิล)
- ภาษาโปรตุเกส (โปรต ุเกส)
- สเปน
- ภาษาสวีเดน
- ภาษาไทย
- ภาษาตุรกี
หากต้องการเปลี่ยนภาษาของแอป Shopify POS คุณจะต้องเปลี่ยนภาษาของอุปกรณ์ iOS ผ่านการตั้งค่า iOS
ขั้นตอน:
iOS
- ปิดแอป Shopify POS
- ใน iPad ของคุณให้แตะที่การตั้งค่า > ทั้วไป > ภาษาและภูมิภาค
- แตะที่ภาษา iPadจากนั้นเลือกภาษาที่คุณต้องการจากรายการแล้วแตะที่เสร็จสิ้น
- แตะเปลี่ยนเป็น (ภาษาที่เลือก)
Android
- ปิดแอป Shopify POS
- ในอุปกรณ์ของคุณ ให้แตะการตั้งค่า > ระบบ > ภาษาและการป้อนข้อมูล
- แตะภาษาและภูมิภาคแล้วเลือกภาษาที่ต้องการจากรายการดังกล่าว
- ตัวเลือกเสริม: หากไม่มีภาษาที่ต้องการปรากฏในรายการ ให้แตะเพิ่มภาษาแล้วเลือกภาษาที่ต้องการ
คุณอาจใช้งานภาษาอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ในนี้ได้ แต่ระบบไม่ได้รองรับภาษาเหล่านั้นและอาจทำให้คำแปลหายไป ซึ่งคำแปลที่หายไปนั้นจะปรากฏเป็นภาษาอังกฤษตามค่าเริ่มต้นแทน
ฉันควรอย่างไรหากเครื่องอ่านบัตร POS ถูกขโมย
ควรยกเลิกการจับคู่เครื่องอ่านบัตร POS ที่ไม่ได้ใช้งาน สูญหาย หรือถูกขโมยจากแอป Shopify POS
ขั้นตอน:
- แตะ
≡
และไปที่การตั้งค่าในแอป POS - คลิก จัดการฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อ
- ค้นหาเครื่องอ่านบัตรและเลือก ลืม
- ไปที่การตั้งค่า Bluetooth ของอุปกรณ์ iOS หรือ Android และลืมเครื่องอ่านบัตร
คุณสามารถซื้อฮาร์ดแวร์ Shopify POS มาเปลี่ยนทดแทนได้จากร้านค้าฮาร์ดแวร์ของ Shopify
ฉันจะรักษาความปลอดภัยของเครื่องอ่านบัตรของฉันได้อย่า งไร
รักษาเครื่องอ่านบัตรของคุณให้ปลอดภัยโดยปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- เฝ้าระวังพฤติกรรมน่าสงสัยที่อาจเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ เช่น การที่บุคคลที่ไม่รู้จักพยายามถอดปลั๊กหรือเปิดอุปกรณ์ ตรวจสอบยืนยันตัวตนของบุคคลภายนอกที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ซ่อมแซมหรือบํารุงรักษา Shopify ไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปซ่อมบำรุงอุปกรณ์เหล่านี้
- รายงานพฤติกรรมน่าสงสัยและสิ่งที่บ่งชี้ว่าอุปกรณ์ POS อาจถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกแทนที่ให้เจ้าของบัญชีผู้ใช้ Shopify ทราบ ตัวอย่างของสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปกรณ์อาจถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกแทนที่ ได้แก่ การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นที่ไม่คาดคิดหรือการถอดสายเชื่อมต่อออกจากอุปกรณ์ ฉลากรับรองความปลอดภัยหายไปหรือถูกเปลี่ยน โครงอุปกรณ์แตกหรือเปลี่ยนสี หรือการเปลี่ยนแปลงของหมายเลขซีเรียลหรือเครื่องหมา ยภายนอกอื่นๆ
- ตรวจสอบอุปกรณ์ POS เป็นระยะๆ เพื่อตรวจหาการดัดแปลง (ตัวอย่างเช่น การติดตั้งเครื่องอ่านบัตรเข้ากับอุปกรณ์) หรือการแทนที่ (ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบหมายเลขลำดับประจำสินค้าหรือคุณลักษณะอื่นๆ ของอุปกรณ์ เพื่อยืนยันว่าไม่มีการนำอุปกรณ์โจรกรรมมาแทนที่อุปกรณ์นี้) ห้ามใช้อุปกรณ์ POS ที่อาจถูกดัดแปลงจนกว่าจะมีการตรวจสอบอุปกรณ์ดังกล่าว
คุณต้องรับผิดชอบในการบํารุงรักษาเครื่องอ่านบัตร POS ที่มีทั้งหมดในอินเทอร์เฟสผู้ดูแลระบบร้านค้า
หากอุปกรณ์ถูกดัดแปลง ให้ลบอุปกรณ์ดังกล่าวออกจากอุปกรณ์ POS ของคุณในอินเทอร์เฟสการตั้งค่า ในแอป POS ให้แตะที่ ≡
เลือก การตั้งค่า > จัดการฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อ ค้นหาอุปกรณ์ แล้วเลือก “ลืม”
หากมีการใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการดัดแปลงในการบันทึกข้อมูลการชำระเง ิน ข้อมูลบัตรเครดิตอาจถูกโจรกรรมได้ คุณมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลการชำระเงินที่ถูกโจรกรรมไปยังผู้ให้บริการชำระเงิน (และ/หรือแบรนด์ของบัตรนั้นๆ) ตามขั้นตอนการรับมือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่กำหนดไว้ และตามข้อกำหนดของ PCI DSS เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน PCI