จัดการภาษีสหภาพยุโรปของคุณ
หลังจากที่คุณอัปเดตร้านค้าเพื่อใช้ฟีเจอร์ภาษีใหม่ของสหภาพยุโรป คุณสามารถจัดการการตั้งค่าภาษี รวมถึงการลงทะเบียน ภาษีที่กำหนดเอง และการยกเว้นภาษีสำหรับลูกค้าของคุณได้
ในหน้านี้
จัดการภูมิภาคที่คุณได้ลงทะเบียนไว้
คุณสามารถเพิ่ม ลบ หรือเปลี่ยนแปลงการลงทะเบียนหรือหมายเลขบัญชีของคุณเมื่อใดก็ได้
หากคุณได้รับการยกเว้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และในภายหลังจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศอื่นๆ คุณจะไม่มีคุณสมบัติในการได้รับการยกเว้นอีกต่อไป ระบบไม่รองรับการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมกับการยกเว้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หากคุณจำเป็นต้องเพิ่มการลงทะเบียนเพิ่มเติม คุณต้องเปลี่ยนประเภทการลงทะเบียนของคุณเป็นการลงทะเบียนแบบ One-Stop Shop หรือการลงทะเบียนเฉพาะประเทศก่อน
ขั้นตอนมีดังนี้
จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร
ในส่วนการตั้งค่าภูมิภาค ให้คลิกที่ “สหภาพยุโรป”
ในส่วนการจัดส่งจากภายในสหภาพยุโรปไปยังสหภาพยุโรป ให้ทำตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้:
- หากต้องการแก้ไขการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีอยู่ในประเทศอื่นในสหภาพยุโรป ในส่วนเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศในสหภาพยุโรป ให้คลิก ... ถัดจากภูมิภาคที่คุณต้องการแก้ไข
- หากต้องการตั้งค่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ในประเทศอื่นในสหภาพยุโรป ให้คลิก เก็บในตำแหน่งที่ตั้งอื่น
- หากต้องการแก้ไขการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มข้ามพรมแดนที่มีอยู่ ในส่วนเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มข้ามพรมแดน ให้คลิกที่ ...
- หากต้องการตั้งค่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มข้ามพรมแดนใหม่ ในส่วนเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มข้ามพรมแดน ให้คลิก เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
อัปเดตภูมิภาคและหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่มของคุณ
แล้วคลิกที่บันทึก
แทนที่ภาษี
บางครั้งอัตราภาษีเริ่มต้นจะไม่มีผลกับสินค้าบางรายการ ตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าเด็กบางประเภทอาจได้รับการยกเว้นภาษีหรือมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า หากอัตราค่าส่งเริ่มต้นไม่มีผลบังคับใช้ คุณต้องสร้างอัตราภาษีเพื่อกำหนดเอง หากคุณใช้ Shopify Tax คุณสามารถใช้หมวดหมู่สินค้าช่วยลดความต้องกำหนดภาษีเองส่วนใหญ่ได้
สร้างภาษีที่กำหนดเองสำหรับสินค้า
การสร้างภาษีที่กำหนดเองสำหรับสินค้าเป็นกระบวนการสองขั้นตอน ในขั้นแรก คุณต้องสร้างคอลเลกชันสินค้าที่มีสินค้าที่มีอัตราภาษีที่แตกต่างจากสินค้าอื่น จากนั้นจึงระบุภูมิภาคที่ต้องการใช้ภาษีที่กำหนดเองและอัตราภาษีที่ต้องการใช้
ขั้นตอนมีดังนี้
สร้างคอลเลกชันโดยดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- จากส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่สินค้า > คอลเลกชัน
- คลิกสร้างคอลเลกชันจากนั้นป้อนชื่อให้คอลเลกชัน
- ใต้ประเภทคอลเลกชัน ให้เลือกกำหนดเอง
- คลิกที่บันทึกคอลเลกชัน
สร้างการกำหนดเองโดยดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร
- ในส่วนประเทศ/ภูมิภาค ให้คลิกที่ภูมิภาคที่ต้องการแทนที่
- ในส่วนภาษีที่กำหนดเองสำหรับสินค้า ให้คลิก “กำหนดภาษีเอง”
- เลือกคอลเลกชัน
- เลือกภูมิภาคที่จะใช้ภาษีที่กำหนดเอง
- ป้อนอัตราภาษีสำหรับคอลเลกชันในภูมิภาคนั้น
- คลิกเพิ่มการแทนที่ภาษี
กำหนดภาษีสำหรับการจัดส่งเอง
คุณสามารถกำหนดภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดส่งได้เองเช่นเดียวกัน การกำหนดภาษีเองสำหรับการจัดส่งจะมีผลไม่ว่าคุณจะมีนโยบายภาษีในหน้าภาษีและอากรหรือไม่ก็ตาม
ขั้นตอนมีดังนี้
จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร
ในส่วนการตั้งค่าภูมิภาค ให้คลิกที่ “สหภาพยุโรป”
ในส่วนการกำหนดภาษีเองสำหรับการจัดส่ง ให้คลิก “เพิ่มการแทนที่”
เลือกภูมิภาคที่ต้องการจะใช้ภาษีที่กำหนดเอง
ป้อนอัตราภาษีสำหรับการจัดส่งในภูมิภาคนั้น
แล้วคลิกที่บันทึก
จัดการการคำนวณภาษีของคุณ
คุณสามารถจัดการการตั้งค่าต่างๆ ที่จะกำหนดวิธีคำนวณภาษีสำหรับสินค้าได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถกำหนดได้ว่าจะรวมภาษีในราคาสินค้าของคุณหรือไม่ จะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าดิจิทัลหรือไม่ และจะเก็บภาษีจากค่าจัดส่งหรือไม่ คุณสามารถจัดการการตั้งค่าเหล่านี้ได้ในหน้าการตั้งค่าภาษีและอากร ไปที่การกำหนดและการยกเว้นภาษีเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
ขั้นตอนมีดังนี้
จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร
ในส่วนการคำนวณภาษีให้เลือกตัวเลือกที่สอดคล้อง
แล้วคลิกที่บันทึก
การปัดเศษภาษี
ก่อนหน้านี้ ภาษีจะได้รับการปัดเศษที่ระดับใบแจ้งหนี้ โดยระบบจะคำนวณภาษีจากยอดรวมย่อยของคำสั่งซื้อ จากนั้นจึงปัดเศษผลลัพธ์ หลังจากที่คุณอัปเดตการตั้งค่าเพื่อใช้คุณลักษณะภาษีของสหภาพยุโรป จำนวนภาษีจะถูกปัดเศษที่ระดับสินค้าเฉพาะรายการ ซึ่งหมายความว่ายอดรวมมูลค่าภาษีจะคำนวณจากการคิดอัตราภาษีกับสินค้าแต่ละรายการในคำสั่งซื้อ ก่อนจะปัดเศษผลลัพธ์ แล้วจึงนำยอดรวมย่อยเหล่านี้มาบวกเข้าด้วยกันเพื่อคิดเป็นยอดรวมมูลค่าของคำสั่งซื้อ
การปัดเศษภาษีในระดับสินค้าเฉพาะรายการจะช่วยปรับปรุงการคำนวณอัตราภาษีที่แตกต่างกัน และทำให้การคำนวณภาษีสำหรับคำสั่งซื้อที่มีสินค้าที่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องเสียภาษีง่ายขึ้น
ตัวอย่างของการปัดเศษภาษีที่ระดับใบแจ้งหนี้และที่ระดับสินค้าเฉพาะรายการ
ลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้าที่แตกต่างกัน 42 รายการ แต่ละรายการมีราคา 14.99 ยูโร และต้องคิดภาษี 20% ระบบจะคิดภาษีสินค้าเฉพาะรายการสำหรับสินค้าแต่ละรายการโดยคูณราคา (14.99 ยูโร) ด้วยอัตราภาษี (0.20) ซึ่งจะได้ผลลัพธ์เป็น 2.998 ยูโร
ก่อนหน้านี้ ระบบจะรวมภาษีของสินค้าแต่ละรายการเข้าด้วยกันและปัดเศษของยอดรวม โดยในกรณีนี้ ยอดรวมที่ได้จะเป็น 125.916 ยูโร ซึ่งจะปัดเศษเป็น 125.92 ยูโร
แต่ในปัจจุบัน ระบบจะปัดเศษค่าภาษีตั้งแต่ในระดับสินค้าเฉพาะรายการ ซึ่งหมายความว่าค่าภาษีสำหรับสินค้าแต่ละชิ้นจะถูกนำมาปัดเศษแยกกัน มูลค่าภาษี 2.998 ยูโรของสินค้ารายการหนึ่งจะถูกปัดเศษเป็น 3.00 ยูโร ซึ่งจะถูกรวมเข้าด้วยกันเพื่อคำนวนยอดรวม โดยในกรณีนี้ ยอดรวมภาษีจะเป็น 126.00 ยูโร
ความพร้อมใช้งาน Shopify Tax
ฟีเจอร์ Shopify Tax พร้อมให้บริการแก่ผู้ขายทั้งหมดโดยไม่ขึ้นกับประเภทแผนของคุณ ผู้ขายทุกรายมีสิทธิ์เข้าถึงความสามารถในการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มแบบเดียวกัน รวมถึงการตรวจสอบยืนยันอัตโนมัติและการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือวิธีที่คุณเข้าถึงฟีเจอร์เหล่านี้
สำหรับผู้ขายในแผน Basic, Grow หรือ Advanced คุณใช้ โปรไฟล์ลูกค้า เพื่อจัดการข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่ม และตั้งค่าการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับ สำหรับผู้ขายที่ใช้ Shopify Plus คุณใช้ ตำแหน่งที่ตั้งของบริษัท เพื่อเข้าถึงความสามารถในการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มเดียวกันนี้
ฟีเจอร์และฟังก์ชันการใช้งานอื่นๆ ของ Shopify Tax ยังคงเหมือนเดิมในแผนทุกประเภท
การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับ (สหภาพยุโรป/สหราชอาณาจักร)
การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับ (สหภาพยุโรป/สหราชอาณาจักร) ยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแบบเต็มจำนวนสำหรับคำสั่งซื้อใดๆ ที่จัดส่งให้กับลูกค้า B2B ภายในสหภาพยุโรป ในประเทศใดก็ตามที่คุณไม่ได้เป็นผู้จัดการคำสั่งซื้อ ตัวอย่างเช่น การยกเว้นจะมีผลกับคำสั่งซื้อที่จัดส่งให้กับลูกค้า B2B ในประเทศไอร์แลนด์จากตำแหน่งที่ตั้งการจัดการคำสั่งซื้อในประเทศฝรั่งเศส โดยระบบจะอิงตาม ตำแหน่งที่ตั้งการจัดการคำสั่งซื้อ ของคุณ ไม่ใช่จากที่อยู่ร้านค้าของคุณจากการตั้งค่า ทั่วไป การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับมีผลใช้กับคำสั่งซื้อจากประเทศในสหภาพยุโรปไปยังประเทศในสหภาพยุโรปอื่นๆ และคำสั่งซื้อจากประเทศในสหภาพยุโรปไปยังประเทศในสหราชอาณาจักร โดยไม่สามารถใช้กับคำสั่งซื้อจากสหราชอาณาจักรถึงสหภาพยุโรป หรือคำสั่งซื้อจากสหราชอาณาจักรถึงสหราชอาณาจักร
เมื่อตรวจพบที่อยู่ของตำแหน่งที่ตั้งบริษัทหรือลูกค้าอยู่ในสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักร ช่องเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจะกลายเป็นหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่มโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการยกเว้นภาษี ระบบจะเพิ่มหมายเหตุที่ระบุข้อความ กลไกการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับ: ผู้รับมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ลงในใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อเพิ่มหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่มลงในโปรไฟล์ลูกค้าหรือ B2B ระบบจะทำการตรวจสอบยืนยันโดยอัตโนมัติและจัดเก็บไว้ในโปรไฟล์เพื่อใช้อ้างอิงในอนาคต
ต้องระบุตำแหน่งที่ตั้งของสหภาพยุโรปที่เปิดใช้อยู่เพื่อให้การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับของสหภาพยุโรปนั้นดำเนินการได้อย่างถูกต้อง หากคุณมีตำแหน่งที่ตั้งการจัดการคำสั่งซื้อหลายแห่ง คุณสามารถเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งการจัดการคำสั่งซื้อไปอีกแห่งหนึ่งนอกประเทศที่จัดส่งของลูกค้า เพื่อให้การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีดำเนินการได้ตามที่ต้องการ