จัดการภาษีสหภาพยุโรปของคุณ

หลังจากที่คุณอัปเดตร้านค้าเพื่อใช้ฟีเจอร์ภาษีใหม่ของสหภาพยุโรป คุณสามารถจัดการการตั้งค่าภาษี รวมถึงการลงทะเบียน ภาษีที่กำหนดเอง และการยกเว้นภาษีสำหรับลูกค้าของคุณได้

จัดการภูมิภาคที่คุณได้ลงทะเบียนไว้

คุณสามารถเพิ่ม ลบ หรือเปลี่ยนแปลงการลงทะเบียนหรือหมายเลขบัญชีของคุณเมื่อใดก็ได้

หากคุณได้รับการยกเว้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และในภายหลังจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศอื่นๆ คุณจะไม่มีคุณสมบัติในการได้รับการยกเว้นอีกต่อไป ระบบไม่รองรับการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมกับการยกเว้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หากคุณจำเป็นต้องเพิ่มการลงทะเบียนเพิ่มเติม คุณต้องเปลี่ยนประเภทการลงทะเบียนของคุณเป็นการลงทะเบียนแบบ One-Stop Shop หรือการลงทะเบียนเฉพาะประเทศก่อน

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร

  2. ในส่วนการตั้งค่าภูมิภาค ให้คลิกที่ “สหภาพยุโรป

  3. ในส่วนการจัดส่งจากภายในสหภาพยุโรปไปยังสหภาพยุโรป ให้ทำตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้:

    • หากต้องการแก้ไขการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีอยู่ในประเทศอื่นในสหภาพยุโรป ในส่วนเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศในสหภาพยุโรป ให้คลิก ... ถัดจากภูมิภาคที่คุณต้องการแก้ไข
    • หากต้องการตั้งค่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ในประเทศอื่นในสหภาพยุโรป ให้คลิก เก็บในตำแหน่งที่ตั้งอื่น
    • หากต้องการแก้ไขการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มข้ามพรมแดนที่มีอยู่ ในส่วนเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มข้ามพรมแดน ให้คลิกที่ ...
    • หากต้องการตั้งค่าการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มข้ามพรมแดนใหม่ ในส่วนเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มข้ามพรมแดน ให้คลิก เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
  4. อัปเดตภูมิภาคและหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่มของคุณ

  5. คลิกที่บันทึก

แทนที่ภาษี

บางครั้งอัตราภาษีเริ่มต้นจะไม่มีผลกับสินค้าบางรายการ ตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าเด็กบางประเภทอาจได้รับการยกเว้นภาษีหรือมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า หากอัตราค่าส่งเริ่มต้นไม่มีผลบังคับใช้ คุณต้องสร้างอัตราภาษีเพื่อกำหนดเอง หากคุณใช้ Shopify Tax คุณสามารถใช้หมวดหมู่สินค้าช่วยลดความต้องกำหนดภาษีเองส่วนใหญ่ได้

สร้างภาษีที่กำหนดเองสำหรับสินค้า

การสร้างภาษีที่กำหนดเองสำหรับสินค้าเป็นกระบวนการสองขั้นตอน ในขั้นแรก คุณต้องสร้างคอลเลกชันสินค้าที่มีสินค้าที่มีอัตราภาษีที่แตกต่างจากสินค้าอื่น จากนั้นจึงระบุภูมิภาคที่ต้องการใช้ภาษีที่กำหนดเองและอัตราภาษีที่ต้องการใช้

ขั้นตอน:

  1. สร้างคอลเลกชันโดยดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้:

    1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่สินค้า > คอลเลกชัน
    2. คลิกสร้างคอลเลกชันจากนั้นป้อนชื่อให้คอลเลกชัน
    3. ใต้ประเภทคอลเลกชัน ให้เลือกกำหนดเอง
    4. คลิกที่บันทึกคอลเลกชัน
  2. สร้างการกำหนดเองโดยดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้:

    1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร
    2. ในส่วนประเทศ/ภูมิภาค ให้คลิกที่ภูมิภาคที่ต้องการแทนที่
    3. ในส่วนภาษีที่กำหนดเองสำหรับสินค้า ให้คลิก “กำหนดภาษีเอง
    4. เลือกคอลเลกชัน
    5. เลือกภูมิภาคที่จะใช้ภาษีที่กำหนดเอง
    6. ป้อนอัตราภาษีสำหรับคอลเลกชันในภูมิภาคนั้น
    7. คลิกเพิ่มการแทนที่ภาษี

กำหนดภาษีสำหรับการจัดส่งเอง

คุณสามารถกำหนดภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดส่งได้เองเช่นเดียวกัน การกำหนดภาษีเองสำหรับการจัดส่งจะมีผลไม่ว่าคุณจะมีนโยบายภาษีในหน้าภาษีและอากรหรือไม่ก็ตาม

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร

  2. ในส่วนการตั้งค่าภูมิภาค ให้คลิกที่ “สหภาพยุโรป

  3. ในส่วนการกำหนดภาษีเองสำหรับการจัดส่ง ให้คลิก “เพิ่มการแทนที่

  4. เลือกภูมิภาคที่ต้องการจะใช้ภาษีที่กำหนดเอง

  5. ป้อนอัตราภาษีสำหรับการจัดส่งในภูมิภาคนั้น

  6. คลิกที่บันทึก

จัดการการคำนวณภาษีของคุณ

คุณสามารถจัดการการตั้งค่าต่างๆ ที่จะกำหนดวิธีคำนวณภาษีสำหรับสินค้าได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถกำหนดได้ว่าจะรวมภาษีในราคาสินค้าของคุณหรือไม่ จะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าดิจิทัลหรือไม่ และจะเก็บภาษีจากค่าจัดส่งหรือไม่ คุณสามารถจัดการการตั้งค่าเหล่านี้ได้ในหน้าการตั้งค่าภาษีและอากร ไปที่การกำหนดและการยกเว้นภาษีเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ ให้ไปที่การตั้งค่า > ภาษีและอากร

  2. ในส่วนการคำนวณภาษีให้เลือกตัวเลือกที่สอดคล้อง

  3. คลิกที่บันทึก

การปัดเศษภาษี

ก่อนหน้านี้ ภาษีจะได้รับการปัดเศษที่ระดับใบแจ้งหนี้ โดยระบบจะคำนวณภาษีจากยอดรวมย่อยของคำสั่งซื้อ จากนั้นจึงปัดเศษผลลัพธ์ หลังจากที่คุณอัปเดตการตั้งค่าเพื่อใช้คุณลักษณะภาษีของสหภาพยุโรป จำนวนภาษีจะถูกปัดเศษที่ระดับสินค้าเฉพาะรายการ ซึ่งหมายความว่ายอดรวมมูลค่าภาษีจะคำนวณจากการคิดอัตราภาษีกับสินค้าแต่ละรายการในคำสั่งซื้อ ก่อนจะปัดเศษผลลัพธ์ แล้วจึงนำยอดรวมย่อยเหล่านี้มาบวกเข้าด้วยกันเพื่อคิดเป็นยอดรวมมูลค่าของคำสั่งซื้อ

การปัดเศษภาษีในระดับสินค้าเฉพาะรายการจะช่วยปรับปรุงการคำนวณอัตราภาษีที่แตกต่างกัน และทำให้การคำนวณภาษีสำหรับคำสั่งซื้อที่มีสินค้าที่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องเสียภาษีง่ายขึ้น

ตัวอย่างของการปัดเศษภาษีที่ระดับใบแจ้งหนี้และที่ระดับสินค้าเฉพาะรายการ

ลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้าที่แตกต่างกัน 42 รายการ แต่ละรายการมีราคา 14.99 ยูโร และต้องคิดภาษี 20% ระบบจะคิดภาษีสินค้าเฉพาะรายการสำหรับสินค้าแต่ละรายการโดยคูณราคา (14.99 ยูโร) ด้วยอัตราภาษี (0.20) ซึ่งจะได้ผลลัพธ์เป็น 2.998 ยูโร

ก่อนหน้านี้ ระบบจะรวมภาษีของสินค้าแต่ละรายการเข้าด้วยกันและปัดเศษของยอดรวม โดยในกรณีนี้ ยอดรวมที่ได้จะเป็น 125.916 ยูโร ซึ่งจะปัดเศษเป็น 125.92 ยูโร

แต่ในปัจจุบัน ระบบจะปัดเศษค่าภาษีตั้งแต่ในระดับสินค้าเฉพาะรายการ ซึ่งหมายความว่าค่าภาษีสำหรับสินค้าแต่ละชิ้นจะถูกนำมาปัดเศษแยกกัน มูลค่าภาษี 2.998 ยูโรของสินค้ารายการหนึ่งจะถูกปัดเศษเป็น 3.00 ยูโร ซึ่งจะถูกรวมเข้าด้วยกันเพื่อคำนวนยอดรวม โดยในกรณีนี้ ยอดรวมภาษีจะเป็น 126.00 ยูโร

การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับของสหภาพยุโรป

การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับของสหภาพยุโรปจะยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแบบเต็มจำนวนในคำสั่งซื้อใดๆ ที่จัดส่งให้กับลูกค้าธุรกิจแบบ B2B ภายในสหภาพยุโรปไปยังประเทศใดก็ตามที่คุณไม่ได้เป็นผู้จัดการคำสั่งซื้อ ตัวอย่างเช่น การยกเว้นจะมีผลกับคำสั่งซื้อที่จัดส่งให้กับลูกค้าธุรกิจแบบ B2B ในประเทศไอร์แลนด์จากตำแหน่งที่ตั้งการจัดการคำสั่งซื้อในประเทศฝรั่งเศส โดยระบบจะอิงตามตำแหน่งที่ตั้งการจัดการคำสั่งซื้อของคุณ ไม่ใช่จากที่อยู่ร้านค้าของคุณจากการตั้งค่าทั่วไป

ต้องระบุตำแหน่งที่ตั้งของสหภาพยุโรปที่เปิดใช้อยู่เพื่อให้การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีแบบย้อนกลับของสหภาพยุโรปนั้นดำเนินการได้อย่างถูกต้อง หากคุณมีตำแหน่งที่ตั้งการจัดการคำสั่งซื้อหลายแห่ง คุณสามารถเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งการจัดการคำสั่งซื้อไปอีกแห่งหนึ่งนอกประเทศที่จัดส่งของลูกค้า เพื่อให้การยกเว้นการเรียกเก็บภาษีดำเนินการได้ตามที่ต้องการ

ไม่พบคำตอบที่คุณต้องการงั้นหรือ เราพร้อมช่วยเหลือคุณ