โอนย้ายจาก Lightspeed

คู่มือนี้จะสรุปวิธีโอนย้ายร้านค้าของคุณจาก Lightspeed ไปยัง Shopify คุณสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ลืมงานการตั้งค่าหลักใดๆ

ในหน้านี้

ขั้นตอนที่ 1: ตัดสินใจว่าจะใช้วิธีใดในการโอนย้ายเนื้อหาและข้อมูลของร้านค้า Lightspeed ของคุณไปยัง Shopify

หลังจากที่คุณสร้างร้านค้าบน Shopify แล้ว ให้ดูที่ร้านค้า Lightspeed ที่มีอยู่ของคุณแล้วตัดสินใจว่าต้องการโอนย้ายข้อมูลและเนื้อหาใดไปยัง Shopify บ้าง นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่จะนำเนื้อหาที่เก่าและมีประสิทธิภาพน้อยออกไป และทำให้เว็บไซต์รวมถึงธุรกิจของคุณดูสดใหม่ คุณควรโอนย้ายข้อมูลต่อไปนี้จาก Lightspeed

  • สินค้า
  • ลูกค้า
  • ประวัติคำสั่งซื้อ (คำสั่งซื้อที่ได้รับการจัดการแล้ว)
  • รีวิว

นอกจากนี้คุณยังต้องตัดสินใจด้วยว่าจะใช้วิธีใดในการโอนย้ายเนื้อหาแต่ละประเภท ตรวจสอบวิธีการย้ายต่อไปนี้:

วิธีการย้ายและคำอธิบาย
วิธีการย้าย คำอธิบาย
คัดลอกและวางด้วยตัวเอง คัดลอกเนื้อหาจากร้านค้า Lightspeed ที่มีอยู่ของคุณและวางในร้านค้า Shopify ใหม่
การนำเข้า CSV ส่งออกข้อมูลของคุณเป็นไฟล์ CSV และนําเข้าไปยังร้านค้า Shopify ใหม่ของคุณ (ไม่สามารถโอนย้ายข้อมูลบางส่วนด้วยวิธีนี้ได้)
แอปย้ายข้อมูลจากภายนอก ใช้แอปย้ายข้อมูลจากภายนอกจาก Shopify App Store
ผูู้เชี่ยวชาญด้านการย้าย จ้าง Shopify Partner เพื่อจัดการและดำเนินการย้ายให้เสร็จสมบูรณ์

ข้อมูลที่เหลือในคู่มือนี้จะแนะนำให้ใช้ไฟล์ CSV หากมี แต่จะมีหมายเหตุเกี่ยวกับตัวเลือกอื่นๆ ไว้เมื่อไม่สามารถใช้ไฟล์ CSV ได้

ขั้นตอนที่ 2: ส่งออกข้อมูลสินค้าจาก Lightspeed

คุณสามารถส่งออกข้อมูลสินค้าจากรายการสินค้าของ Lightspeed ได้ ขั้นตอนการส่งออกข้อมูลสินค้านี้จะขึ้นอยู่กับซีรีส์ Lightspeed ที่คุณใช้งาน

ส่งออกข้อมูลสินค้า X-Series

  1. ในส่วนผู้ดูแลของ Lightspeed X-Series ให้ไปที่ แค็ตตาล็อก > สินค้า
  2. คลิกส่งออกรายการ
  3. ตั้งชื่อไฟล์ว่า LightspeedProductDownload.csv จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

ส่งออกข้อมูลสินค้า E-Series

  1. ในส่วนผู้ดูแลของ Lightspeed E-Series ให้ไปที่ Catalog (แค็ตตาล็อก) > Products (สินค้า)
  2. คลิกเมนูดรอปดาวน์ Import or Export Products (นําเข้าหรือส่งออกสินค้า) จากนั้นคลิก Export all (ส่งออกทั้งหมด) นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกสินค้าเฉพาะที่ต้องการได้ จากนั้นคลิก Export selected (ส่งออกรายการที่เลือก)
  3. ในกล่องโต้ตอบ ให้เลือก Delimiter (อักขระคั่น) จากเมนูดรอปดาวน์ อักขระคั่นมีไว้เพื่อแยกองค์ประกอบต่างๆ ในข้อมูลดิบ คุณสามารถเลือกใช้เป็นเครื่องหมาย Semi-colon (:), Comma (,) หรือ Tab (แท็บ) ก็ได้
  4. คลิก Download CSV file (ดาวน์โหลดไฟล์ CSV)
  5. ตั้งชื่อไฟล์ว่า LightspeedProductDownload.csv จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

ส่งออกข้อมูลสินค้า R-Series

  1. ในส่วนผู้ดูแลของ Lightspeed R-Series ให้ไปที่Inventory (สินค้าคงคลัง) > Item Search (ค้นหารายการสินค้า)
  2. ไม่บังคับ: คุณสามารถกรองข้อมูลที่ต้องการส่งออกได้โดยใช้ตัวกรองการค้นหา คลิก Search (ค้นหา) เพื่อใช้ตัวกรอง ระบบจะส่งออกเฉพาะสินค้าที่ปรากฏในการค้นหาเท่านั้น
  3. คลิกที่ส่งออก
  4. ตั้งชื่อไฟล์ว่า LightspeedProductDownload.csv จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

ขั้นตอนที่ 3: แก้ไขการส่งออกข้อมูลสินค้า

คุณต้องแก้ไขไฟล์ CSV ก่อนจึงจะสามารถนำเข้าไปยัง Shopify ได้

คุณสามารถดาวน์โหลดและดูเทมเพลตสินค้าแบบไฟล์ CSV แล้วแก้ไขไฟล์ LightspeedProductDownload.csv ของคุณให้สอดคล้องกับรูปแบบนั้น ทั้งนี้ คุณควรทำงานในอีกแท็บหนึ่งบนไฟล์ CSV ของคุณ ในแท็บอื่นๆ คุณสามารถคัดลอกส่วนหัวของคอลัมน์ จากนั้นคัดลอกข้อมูลการนําเข้า Lightspeed ของคุณแล้ววางลงในเทมเพลตสินค้าแบบไฟล์ CSV ของ Shopify ได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ลบแท็บดังกล่าวออกจากไฟล์ CSV ของคุณแล้วก่อนที่จะนําเข้าไฟล์ดังกล่าว

หากคุณใช้ไฟล์ตัวอย่าง โปรดตรวจสอบรายละเอียดต่อไปนี้:

  • ไฟล์ตัวอย่างประกอบไปด้วย สินค้าตัวอย่าง และตัวเลือกสินค้าสองถึงสามชนิด ไฟล์ที่นำเข้าของคุณอาจมีสินค้าและตัวเลือกสินค้ามากกว่า หากคุณใช้ไฟล์ตัวอย่างเพื่อสร้างไฟล์นำเข้าของคุณเอง โปรดอย่าลืมลบสินค้าตัวอย่างทั้งหมดออก
  • ไฟล์ตัวอย่างจะมี Variant Inventory Qty คอลัมน์ ซึ่งใช้เฉพาะสำหรับร้านค้าที่มีตำแหน่งที่ตั้งเดียว หากคุณมีหลายตำแหน่งที่ตั้งและต้องการนำเข้าหรือส่งออกจำนวนสินค้าคงคลัง โปรดใช้ไฟล์ CSV สินค้าคงคลัง
  • ไฟล์ตัวอย่างประกอบด้วยคอลัมน์ Price / International และ Compare At Price / International แต่ทั้งสองคอลัมน์ถูกเว้นว่างไว้ เนื่องจากไม่มีข้อกําหนดการกําหนดราคาที่ไม่ซ้้ากันใดๆ กับสินค้าเหล่านี้เมื่อขายสินค้าระหว่างประเทศดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอลัมน์ CSV ของ Shopify Markets

คุณสามารถใช้ Google ชีตในการแก้ไขไฟล์ CSV ของคุณในแบบฉบับที่ผ่านการจัดรูปแบบแล้ว นอกจากนี้คุณยังสามารถแก้ไขไฟล์โดยใช้แอปพลิเคชันสเปรดชีตยอดนิยมอื่นๆ เช่น Microsoft Excel หรือ Numbers

การตรวจสอบการส่งออกข้อมูลสินค้า X-Series

ตรวจสอบตารางต่อไปนี้เพื่อหาคอลัมน์ที่ตรงกันระหว่างประเภทข้อมูลของ Lightspeed กับประเภทข้อมูลของ Shopify โดยจะมีบางคอลัมน์ที่พร้อมใช้งานในไฟล์ CSV สำหรับสินค้าของ Shopify ซึ่งไม่อยู่ในไฟล์ส่งออกสินค้าของ Lightspeed เราไม่ได้ระบุถึงคอลัมน์เหล่านั้นในรายการด้านล่างนี้ แต่คุณก็อาจต้องตรวจสอบคอลัมน์ดังกล่าวด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละคอลัมน์ต้องใช้ในไฟล์ CSV สำหรับสินค้า

การจับคู่ข้อมูลของ X-Series
ประเภทข้อมูลของ Lightspeed ประเภทของข้อมูล Shopify การดำเนินการ
handle แฮนเดิล เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify แฮนเดิลคือชื่อเฉพาะของสินค้าแต่ละรายการที่ใช้ใน URL ซึ่งสามารถใช้ตัวอักษร ขีด และตัวเลขได้ แต่ห้ามใช้เว้นวรรค สัญลักษณ์กำหนดการออกเสียง หรืออักขระอื่นๆ เช่น จุด แก้ไขแฮนเดิลของ Lightspeed เพื่อให้แน่ใจว่าแฮนเดิลนั้นๆ สอดคล้องตามข้อกำหนดของ Shopify
ชื่อ ชื่อ เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
คำอธิบาย เนื้อหา (HTML) เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
supplier_name เวนเดอร์ เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
product_category หมวดหมู่สินค้า คอลัมน์นี้ควรระบุถึงค่าต่างๆ จากหมวดหมู่สินค้ามาตรฐานของ Shopify ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจำแนกสินค้าของ Shopify
แท็ก แท็ก เปลี่ยนชื่อคอลัมน์
variant_option_one_name ชื่อตัวเลือก 1 เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
variant_option_one_value ค่าตัวเลือก 1 เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
variant_option_two_name ชื่อตัวเลือกที่ 2 เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
variant_option_two_value ค่าตัวเลือกที่ 2 เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
variant_option_three_name ชื่อตัวเลือกที่ 3 เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
variant_option_three_value ค่าตัวเลือกที่ 3 เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
sku SKU ของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
ติดตามสินค้าคงคลัง ตัวติดตามสินค้าคงคลังของตัวเลือกสินค้า ระบุการติดตามสินค้าคงคลังของคุณของตัวเลือกสินค้าหรือสินค้านี้ ใช้ค่าต่อไปนี้เพื่ออัปเดตคอลัมน์: shopify, shipwire, amazon_marketplace_web หรือเว้นว่างไว้หากไม่มีการติดตามสินค้าคงคลัง
inventory_Main_Outlet ปริมาณสินค้าคงคลังของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
retail_price ราคาของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
supply_price ต้นทุนต่อรายการ เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
ใช้งานอยู่ สถานะ

ใช้บ่งชี้ว่าสินค้ามีให้บริการแก่ลูกค้าของคุณหรือไม่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์ที่คุณนําเข้ามีเฉพาะค่าดังต่อไปนี้

  • active: สินค้ามีวางจำหน่ายและพร้อมที่จะขายแล้ว
  • draft: สินค้าอยู่ในสถานะแบบร่างและจำเป็นต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น
  • archived: สินค้าถูกเก็บถาวรและจะไม่วางจำหน่ายอีกต่อไป

การตรวจสอบการส่งออกข้อมูลสินค้า E-Series

ตรวจสอบตารางต่อไปนี้เพื่อหาคอลัมน์ที่ตรงกันระหว่างประเภทข้อมูลของ Lightspeed กับประเภทข้อมูลของ Shopify โดยจะมีบางคอลัมน์ที่พร้อมใช้งานในไฟล์ CSV สำหรับสินค้าของ Shopify ซึ่งไม่อยู่ในไฟล์ส่งออกสินค้าของ Lightspeed เราไม่ได้ระบุถึงคอลัมน์เหล่านั้นในรายการด้านล่างนี้ แต่คุณก็อาจต้องตรวจสอบคอลัมน์ดังกล่าวด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละคอลัมน์ต้องใช้ในไฟล์ CSV สำหรับสินค้า

การจับคู่ข้อมูลของ E-Series
ประเภทข้อมูลของ Lightspeed ประเภทของข้อมูล Shopify การดำเนินการ
ชื่อสินค้า ชื่อ เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
คำอธิบาย เนื้อหา (HTML) เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
แบรนด์ เวนเดอร์ ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ชื่อคอลัมน์ตรงกัน
หมวดหมู่ หมวดหมู่สินค้า คอลัมน์นี้ควรระบุถึงค่าต่างๆ จากหมวดหมู่สินค้ามาตรฐานของ Shopify ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจำแนกสินค้าของ Shopify
รหัสสินค้าคงคลัง SKU ของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
น้ำหนัก ตัวเลือกสินค้าที่มีหน่วยเป็นกรัม เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify และแปลงน้ําหนักให้เป็นหน่วยกรัม
ปริมาณ ปริมาณสินค้าคงคลังของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
ราคา ราคาของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
ราคา “เปรียบเทียบ” การเปรียบเทียบราคาของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify

การตรวจสอบการส่งออกข้อมูลสินค้า R-Series

ตรวจสอบตารางต่อไปนี้เพื่อหาคอลัมน์ที่ตรงกันระหว่างประเภทข้อมูลของ Lightspeed กับประเภทข้อมูลของ Shopify โดยจะมีบางคอลัมน์ที่พร้อมใช้งานในไฟล์ CSV สำหรับสินค้าของ Shopify ซึ่งไม่อยู่ในไฟล์ส่งออกสินค้าของ Lightspeed เราไม่ได้ระบุถึงคอลัมน์เหล่านั้นในรายการด้านล่างนี้ แต่คุณก็อาจต้องตรวจสอบคอลัมน์ดังกล่าวด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละคอลัมน์ต้องใช้ในไฟล์ CSV สำหรับสินค้า

การจับคู่ข้อมูลของ R-Series
ประเภทข้อมูลของ Lightspeed ประเภทของข้อมูล Shopify การดำเนินการ
รายการ ชื่อ เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
เวนเดอร์ เวนเดอร์ ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ชื่อคอลัมน์ตรงกัน
หมวดหมู่ หมวดหมู่สินค้า คอลัมน์นี้ควรระบุถึงค่าต่างๆ จากหมวดหมู่สินค้ามาตรฐานของ Shopify ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจำแนกสินค้าของ Shopify
SKU แบบปรับแต่งเอง SKU ของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
ปริมาณ ปริมาณสินค้าคงคลังของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
ราคา ราคาของตัวเลือกสินค้า เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify
ภาษี ตัวเลือสินค้าที่ต้องเสียภาษี ใช้ระบุว่าตัวเลือกสินค้าดังกล่าวต้องเสียภาษีหรือไม่ ใช้ค่าต่อไปนี้เพื่ออัปเดตคอลัมน์ดังกล่าว: true หรือ false

ขั้นตอนที่ 4: นำเข้าข้อมูลสินค้าของคุณ

หลังจากที่คุณมีไฟล์ LightspeedProductDownload.csv และได้แก้ไขสิ่งที่จําเป็นเสร็จสิ้นแล้ว คุณก็จะนําเข้าสินค้า Lightspeed ของคุณไปยัง Shopify ได้

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแลระบบ Shopify ของคุณ ให้ไปที่สินค้า
  2. คลิกที่นำเข้า
  3. คลิก "เพิ่มไฟล์" จากนั้นเลือกไฟล์ LightspeedProductDownload.csv
  4. ยกเลิกการเลือก “เผยแพร่สินค้าใหม่ไปยังช่องทางการขายทั้งหมด” จากนั้นคลิก “อัปโหลดและแสดงตัวอย่าง
  5. ดูตัวอย่างรายละเอียดเกี่ยวกับการนําเข้าจากนั้นคลิก “นําเข้าสินค้า” ​​หลังจากอัปโหลดไฟล์ CSV แล้ว Shopify จะส่งอีเมลยืนยันไปยังที่อยู่อีเมลที่คุณใช้ตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณ อ่านแนวทางแก้ไขปัญหาทั่วไปหรือข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการนําเข้าสินค้าด้วยไฟล์ CSV

ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบยืนยันและจัดระเบียบสินค้าของคุณหลังจากการนําเข้า

หลังจากที่คุณนําเข้าสินค้าไปยัง Shopify แล้ว ให้ตรวจสอบยืนยันว่าระบบนําเข้าข้อมูลทั้งหมดของคุณอย่างถูกต้อง รายละเอียดต่างๆ เช่น ราคา น้ำหนัก และสินค้าคงคลังอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณหากระบบไม่ได้นําเข้าอย่างถูกต้อง

ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการนําเข้าทั่วไป

ข้อผิดพลาดในการย้ายที่พบบ่อย
ปัญหา ความละเอียด
นำเข้าสินค้าสำเร็จ แต่ไม่ได้เผยแพร่ หากสินค้าที่คุณนําเข้าถูกทำเครื่องหมายเป็นซ่อนไว้ ระบบจะไม่เผยแพร่สินค้าเหล่านั้นจนกว่าคุณจะตั้งค่าให้พร้อมจำหน่ายในช่องทางการขายของคุณ
รายละเอียดของสินค้าที่นำเข้าตกหล่น ตรวจสอบคำอธิบายสินค้าในหน้าสินค้า แล้วกรอกข้อมูลที่ขาดหายไป
ไม่สามารถนำเข้าตัวเลือกสินค้าได้ หากสินค้าไม่มีตัวเลือกสินค้า ระบบก็จะนําเข้าสินค้าที่ว่าไม่สำเร็จ คุณสามารถเพิ่มสินค้าดังกล่าวไปยังร้านค้า Shopify ด้วยตนเองแทนได้

ตรวจสอบและจัดระเบียบสินค้าของคุณ

  1. ตรวจสอบรายละเอียดสินค้า รวมถึงคำอธิบายสินค้า รูปภาพ ตัวเลือกสินค้า ราคา และคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อ
  2. สร้างคอลเลกชันสินค้าเพื่อจัดระเบียบสินค้าของคุณให้เป็นหมวดหมู่ต่างๆ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถจัดกลุ่มสินค้าขทั้งในส่วนผู้ดูแล Shopify และบนเว็บไซต์ภายนอกได้
  3. ทำความเข้าใจสินค้าคงคลังและการถ่ายโอนสินค้าเพื่อตรวจดูสินค้าคงคลังในธุรกิจของคุณ ตรวจสอบแอปสินค้าคงคลังที่มีอยู่เพื่อดูว่าจำเป็นต่อธุรกิจของคุณหรือไม่

ขั้นตอนที่ 6: (ไม่บังคับ) ส่งออกข้อมูลลูกค้าของคุณจาก Lightspeed

คุณสามารถส่งออกข้อมูลลูกค้าจาก Lightspeed ได้ ขั้นตอนการส่งออกข้อมูลลูกค้าจะขึ้นอยู่กับซีรีส์ Lightspeed ที่คุณใช้งาน

ส่งออกข้อมูลลูกค้า X-Series

  1. ในส่วนผู้ดูแล Lightspeed X-Series ให้ไปที่Customers (ลูกค้า) > Customers (ลูกค้า)
  2. คลิกส่งออกรายการ
  3. ตั้งชื่อไฟล์ว่า LightspeedCustomerDownload.csv จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

  4. ในส่วนผู้ดูแล Lightspeed E-Series ให้ไปที่การขาย > ลูกค้า

  5. คลิก Import or Export Customers (นําเข้าหรือส่งออกลูกค้า) จากนั้นเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้

  6. ในกล่องโต้ตอบ ให้เลือก Delimiter (อักขระคั่น) จากเมนูดรอปดาวน์ คุณสามารถเลือกใช้เป็นเครื่องหมาย Semi-colon (:), Comma (,) หรือ Tab (แท็บ) ก็ได้

  7. คลิก Download CSV file (ดาวน์โหลดไฟล์ CSV)

  8. ตั้งชื่อไฟล์ว่า LightspeedCustomerDownload.csv จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

ส่งออกข้อมูลลูกค้าของ R-Series

  1. ในส่วนผู้ดูแล Lightspeed R-series ให้ไปที่ลูกค้า > ลูกค้า
  2. ไม่บังคับ: คุณสามารถกรองข้อมูลที่ต้องการส่งออกได้โดยใช้ตัวกรองการค้นหา คลิกค้นหา เพื่อใช้ตัวกรอง ระบบจะส่งออกเฉพาะคำสั่งซื้อที่ปรากฏในการค้นหาเท่านั้น
  3. คลิกที่ส่งออก
  4. ตั้งชื่อไฟล์ว่า LightspeedCustomerDownload.csv จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

ขั้นตอนที่ 7: (ไม่บังคับ) แก้ไขข้อมูลลูกค้าของคุณจาก Lightspeed

ไฟล์ LightspeedCustomerDownload.csv ที่ส่งออกมานั้นจะไม่สามารถนำเข้าไปยัง Shopify ได้หากไม่ได้แก้ไขไฟล์ CSV ก่อน ดาวน์โหลดและดูเทมเพลตลูกค้าเป็นรูปแบบ CSV จากนั้นแก้ไขไฟล์LightspeedCustomerDownload.csvของคุณให้ตรงกับรูปแบบ CSV นั้น ทั้งนี้ คุณควรทำงานในอีกแท็บหนึ่งบนไฟล์ CSV ของคุณ ในแท็บอื่นๆ คุณสามารถคัดลอกส่วนหัวของคอลัมน์ จากนั้นคัดลอกข้อมูลการนําเข้า Lightspeed ของคุณแล้ววางลงในเทมเพลตสินค้าแบบไฟล์ CSV ของ Shopify ได้ ตรวจสอบว่าไฟล์ CSV มีเฉพาะข้อมูลของลูกค้า Shopify ที่ทำเป็นเทมเพลตรูปแบบ CSV จากร้านค้าของคุณก่อนจะนำเข้าไฟล์

เราขอแนะนำให้ใช้ Google Sheets ในการแก้ไขไฟล์ CSV เวอร์ชันที่จัดรูปแบบแล้ว แม้ว่าแอปพลิเคชันสเปรดชีตที่เป็นที่นิยมอื่นๆ เช่น Microsoft Excel หรือ Numbers อาจจะใช้ได้ก็ตาม

ตรวจสอบไฟล์ส่งออกในส่วนคอลัมน์ที่จับคู่กับประเภทข้อมูลของ Shopify โดยจะมีบางคอลัมน์ที่พร้อมใช้งานในไฟล์ CSV สำหรับลูกค้าของ Shopify ซึ่งไม่อยู่ในไฟล์ส่งออกลูกค้าของ Lightspeed ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละคอลัมน์ต้องใช้ในไฟล์ CSV สำหรับลูกค้า

ขั้นตอนที่ 8: (ไม่บังคับ) นําเข้าข้อมูลลูกค้าของคุณไปยัง Shopify

หลังจากที่คุณมีไฟล์ LightspeedCustomerDownload.csv และได้แก้ไขสิ่งที่จําเป็นเสร็จสิ้นแล้ว คุณก็จะนําเข้าลูกค้า Lightspeed ของคุณไปยัง Shopify ได้

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแลระบบ ให้ไปที่ ลูกค้า
  2. คลิกที่นำเข้า
  3. คลิก "เพิ่มไฟล์" จากนั้นเลือกไฟล์ LightspeedCustomerDownload.csv
  4. คลิกนำเข้าลูกค้า
  5. ดูตัวอย่างรายละเอียดเกี่ยวกับการนําเข้าจากนั้นคลิก “นําเข้าลูกค้า
  6. ตรวจสอบข้อมูลสรุปการนำเข้าลูกค้า จากนั้นคลิก “ดูลูกค้าทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 9: (ไม่บังคับ) นําเข้ารีวิวของคุณไปยัง Shopify

คุณไม่สามารถส่งออกหรือโอนย้ายรีวิวจาก Lightspeed ไปยัง Shopify ได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถนำเข้ารีวิวได้ด้วยตัวเองผ่านแอปจากภายนอกทาง Shopify App Store แอปต่อไปนี้สามารถช่วยนำเข้ารีวิว ได้แก่

ขั้นตอนที่ 10: (ไม่บังคับ) ส่งออกประวัติคำสั่งซื้อของคุณจาก Lightspeed

คุณสามารถส่งออกประวัติคำสั่งซื้อจาก Lightspeed ได้ ขั้นตอนการส่งออกประวัติคำสั่งซื้อจะขึ้นอยู่กับชุดซีรีส์ Lightspeed ที่คุณใช้งาน สำหรับ R-Series เราแนะนำให้ใช้แอปจากภายนอกต่อไปนี้เพื่อช่วยคุณส่งออกประวัติคำสั่งซื้อ

ส่งออกข้อมูลประวัติคำสั่งซื้อของ X-Series

  1. ในส่วนผู้ดูแลของ Lightspeed X-Series ให้ไปที่ Sell (ขาย) > Sales history (ประวัติการขาย)
  2. ไม่บังคับ: คุณสามารถกรองข้อมูลที่ต้องการส่งออกได้โดยใช้ตัวกรองการค้นหา คลิกค้นหา เพื่อใช้ตัวกรอง ระบบจะส่งออกเฉพาะคำสั่งซื้อที่ปรากฏในการค้นหาเท่านั้น
  3. คลิกส่งออกรายการ
  4. ตั้งชื่อไฟล์ว่า LightspeedOrdersDownload.csv จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

ส่งออกข้อมูลประวัติคำสั่งซื้อของ E-series

  1. ในส่วนผู้ดูแล Lightspeed E-Series ให้ไปที่การขายของฉัน > คำสั่งซื้อ
  2. ในส่วน Export orders (ส่งออกคำสั่งซื้อ) ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้

    • หากต้องการส่งออกรายชื่อลูกค้าทั้งหมด ให้คลิก Export All (ส่งออกทั้งหมด)
    • หากต้องการส่งออกเฉพาะลูกค้าที่เลือกไว้เท่านั้น ให้คลิกExport Selected (ส่งออกรายการที่เลือก)
  3. ในกล่องโต้ตอบ ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

    1. เลือกDelimiter (อักขระคั่น) จากเมนูดรอปดาวน์ คุณสามารถเลือกใช้เป็นเครื่องหมาย Semi-colon (:), Comma (,) หรือ Tab (แท็บ) ก็ได้
    2. เลือกข้อมูลคำสั่งซื้อที่คุณต้องการดาวน์โหลด คุณสามารถเลือกได้ระหว่าง All (ทั้งหมด), All but item details (ทั้งหมดยกเว้นรายละเอียดรายการสินค้า) และ None (ไม่เลย)
  4. คลิก Download CSV file (ดาวน์โหลดไฟล์ CSV)

  5. ตั้งชื่อไฟล์ว่า LightspeedSalesDownload.csv จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

ขั้นตอนที่ 11: (ไม่บังคับ) นำเข้าประวัติคำสั่งซื้อของคุณไปยัง Shopify

คุณสามารถใช้แอปย้ายข้อมูลจาก Shopify App Store เพื่อโอนย้ายประวัติคำสั่งซื้อจาก Lightspeed ไปยัง Shopify ได้ แอปต่อไปนี้สามารถช่วยนำเข้าประวัติคำสั่งซื้อได้

ขั้นตอนที่ 12: ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูดี

เพื่อช่วยคุณเริ่มต้นใช้งาน หน้าธีม ในส่วนผู้ดูแลจะใช้ธีมเริ่มต้นเมื่อคุณเปิดบัญชีผู้ใช้กับ Shopify คุณต้องปรับแต่งธีมของคุณเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีรูปลักษณ์ตามที่ต้องการ หากคุณต้องการปรับแต่งธีมอื่นให้กับร้านค้าออนไลน์ คุณสามารถเพิ่มผ่านส่วนผู้ดูแล Shopify ได้

หากต้องการเพิ่มธีมให้กับร้านค้าออนไลน์ ให้เลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งต่อไปนี้

เพิ่มธีมฟรีจากส่วนผู้ดูแลระบบ

ธีมฟรีพัฒนาโดย Shopify และความช่วยเหลือในการปรับแต่งธีมฟรีสนับสนุนโดย Shopify

ขั้นตอน:

เพิ่มธีมจากร้านค้าธีม

ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายได้รับการพัฒนาโดยนักออกแบบที่เป็นบุคคลภายนอก และการปรับแต่งธีมภายนอกจะมีนักออกแบบธีมเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

ขั้นตอน:

  1. เยี่ยมชมร้านค้าธีมของ Shopify และเลือกธีมที่ต้องการ หากคุณยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ฟรี ให้เลือกธีมฟรีเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกเก็บเงินใดๆ
  2. เมื่อเลือกธีมฟรีแล้ว ให้คลิก “เพิ่มธีม” หรือ “เริ่มใช้ธีมนี้” หากเลือกธีมแบบมีค่าใช้จ่าย ให้คลิก “ซื้อ” เพื่อซื้อธีมที่ต้องการ ทั้งนี้ ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายไม่สามารถขอคืนเงินได้ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าธีมดังกล่าวตรงกับความต้องการของคุณ คุณสามารถลองใช้ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายก่อนทำการซื้อได้
  3. สำหรับธีมแบบมีค่าใช้จ่าย ให้คลิก “อนุมัติ” เพื่ออนุมัติการชำระเงิน ธีมจะเพิ่มไปยังหน้าธีมของส่วนผู้ดูแลระบบ

ลองใช้ธีมแบบเสียค่าใช้จ่ายในร้านค้าของคุณ

คุณสามารถลองใช้ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายเพื่อดูตัวอย่างว่าดูเหมาะสมกับสินค้า สีของแบรนด์ และสไตล์ของคุณหรือไม่ก่อนตัดสินใจซื้อธีม ระหว่างที่แสดงตัวอย่างธีม คุณสามารถปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ได้โดยใช้ตัวแก้ไขธีม การเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามจะบันทึกไว้เมื่อคุณสั่งซื้อธีมเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถดูตัวอย่างธีมแบบมีค่าใช้จ่ายได้ถึง 19 ธีมซึ่งเปิดโอกาสให้คุณเปรียบเทียบธีมต่างๆ ได้ก่อนจะสั่งซื้อ

ขั้นตอน:

  1. เยี่ยมชมร้านค้าธีมของ Shopify และเลือกธีมแบบมีค่าใช้จ่าย
  2. คลิกลองใช้ธีม ตัวอย่างธีมจะโหลดขึ้นบนร้านค้าออนไลน์ของคุณ
  3. ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
    • หากต้องการหยุดแสดงตัวอย่างธีม ให้คลิกปิดตัวอย่าง
    • หากต้องการซื้อธีม ให้คลิก “ซื้อธีม
    • หากต้องการแก้ไขการตั้งค่าธีมโดยใช้ตัวแก้ไขธีม ให้คลิกปรับแต่งธีม

หากคุณเลือกที่จะไม่ซื้อธีมดังกล่าว ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายจะยังคงเพิ่มไปยังหน้าธีมของส่วนผู้ดูแลระบบ ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายที่ลองใช้จะมีป้ายธีมทดลองระบุไว้

ขั้นตอนที่ 13: ตั้งค่าการจัดส่งของคุณ

คุณต้องกำหนดอัตราค่าจัดส่งและวิธีจัดส่งอย่างถูกต้องก่อนที่คุณจะเปิดตัวร้านค้า เพื่อที่คุณจะไม่ต้องเสียเวลาคืนเงินให้ลูกค้าสำหรับการเก็บเงินเกินจำนวน หรือส่งอีเมลถึงลูกค้าเพื่อขอให้ชำระเงินเพิ่มเนื่องจากคุณไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการอย่างเพียงพอซึ่งครอบคลุมค่าจัดส่ง

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดส่งและการจัดการคำสั่งซื้อ โปรดคลิก ที่นี่

ขั้นตอน:

  1. ตรวจสอบที่อยู่ของร้านค้าคุณเพื่อรับอัตราค่าจัดส่งที่ถูกต้องตามตำแหน่งที่ตั้งของคุณ หากคุณจัดส่งจากที่อื่น ให้เพิ่มที่อยู่เป็นตำแหน่งที่ตั้ง
  2. สร้างเขตการจัดส่งเพื่อใช้การจัดส่งไปยังภูมิภาค รัฐ และประเทศต่างๆ
  3. หากคุณใช้อัตราค่าจัดส่งหลังการคำนวณของผู้ขนส่ง ให้กำหนดขนาดการจัดส่งของคุณ ผู้ขนส่งหลายรายใช้การวิเคราะห์น้ำหนักตามปริมาตร (ความสูง น้ำหนัก และความลึกของบรรจุภัณฑ์) เพื่อคำนวณอัตราค่าจัดส่ง
  4. กำหนดอัตราค่าจัดส่งสำหรับเขตการจัดส่งที่คุณสร้างขึ้น
  5. เลือกกลยุทธ์การจัดส่งที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ คุณอาจพบว่าการตรวจสอบตัวเลือกบางประการเพื่อดูว่าอะไรที่ตรงกับความต้องการของคุณก่อนตัดสินใจนั้นมีประโยชน์
  6. เลือกวิธีที่คุณต้องการจัดการคำสั่งซื้อของคุณ คุณสามารถจัดการและจัดส่งคำสั่งซื้อได้ด้วยตนเองหรือใช้บริการจัดการคำสั่งซื้อที่จัดส่งคำสั่งซื้อให้คุณ

ขั้นตอนที่ 14: กําหนดค่าภาษีของคุณ

การเรียกเก็บภาษีการขายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของคุณ มีกฎและข้อบังคับเกี่ยวกับภาษีการขายที่แตกต่างกันออกไปซึ่งใช้กับสินค้าของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าร้านค้าของคุณเป็นไปตามกฎเหล่านั้น โปรดใช้เวลาสักครู่เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการกำหนดภาษีของ Shopify

การเรียกเก็บภาษีตามปลายทางการจัดส่งของคุณ

เมื่อคุณ กำหนดการจัดส่งของคุณ คุณสามารถเรียกเก็บภาษีการจัดส่งกับสินค้าของคุณตามข้อบังคับด้านภาษีในจังหวัด รัฐ หรือภูมิภาคของลูกค้า โดย Shopify จะคำนวณภาษีดังกล่าวโดยอัตโนมัติ

หากคุณจำเป็นต้องปรับภาษีด้วยตนเอง คุณสามารถทำได้ด้วยการกำหนดภาษีเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่มีข้อจำกัดด้านภาษีที่แตกต่างกัน หรือคอลเลกชันสินค้าที่เฉพาะเจาะจง

การติดตามเรื่องภาษีของคุณ

เมื่อคุณกำหนดการตั้งค่าภาษีสำหรับสินค้าของคุณ คุณต้องคำนึงถึงวิธีการติดตามภาษีของคุณตลอดปี

หากไม่แน่ใจว่าจะใช้ระบบใดเพื่อติดตามภาษีของคุณ คุณอาจต้องดูแอปสำหรับการทำบัญชีบางแอปใน Shopify App Store

ขั้นตอนที่ 15: การตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงิน

เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะสามารถชำระเงินให้คุณได้ คุณจะต้องกำหนดผู้ให้บริการการชำระเงินผู้ให้บริการการชำระเงินช่วยให้คุณรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้อย่างปลอดภัยShopify Payments พร้อมให้บริการในบางประเทศ และมีผู้ให้บริการการชำระเงินภายนอกที่รองรับเป็นจำนวนมากที่ให้บริการด้วย

ตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงิน

  1. เลือกผู้ให้บริการการชำระเงินจาก Shopify หรือจากภายนอกที่ได้รับการรองรับ
  2. เปิดใช้ Shopify Payments หรือผู้ให้บริการการชำระเงินภายนอกในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ
  3. เลือกวิธีที่คุณต้องการอนุมัติและจัดเก็บการชำระเงินเมื่อลูกค้าซื้อของจากร้านค้าของคุณ

หลังจากที่คุณตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงินแล้ว คุณต้องกำหนดหน้าการชำระเงินของคุณเพื่อให้สามารถดำเนินการตามคำสั่งซื้อของลูกค้าได้

ตั้งค่าการชำระเงินของคุณ

  1. ตั้งค่าการจัดการคำสั่งซื้อของคุณและการอนุมัติการชำระเงิน
  2. เพิ่มนโยบายของร้านค้าของคุณ เพื่อให้ลูกค้าของคุณสามารถดูนโยบายของคุณได้ก่อนที่จะทำการชำระเงินให้เสร็จสมบูรณ์
  3. แก้ไขการตั้งค่าข้อมูลลูกค้าในขั้นตอนการชำระเงินของคุณ และตัดสินใจว่าคุณต้องการเก็บรวบรวมที่อยู่อีเมลเพื่ออัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมและโปรโมชันให้แก่ลูกค้าหรือไม่

ขั้นตอนที่ 16: วางคำสั่งซื้อสำหรับทดสอบบางรายการ

เมื่อคุณกำหนดค่าการตั้งค่าการชำระเงินของคุณแล้ว คุณควรลองทำธุรกรรมสักสองสามอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างใช้งานได้ การใช้คำสั่งซื้อสำหรับทดสอบจะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการที่ลูกค้าของคุณดำเนินการเมื่อพวกเขาซื้อสินค้าของคุณ คุณสามารถเข้าถึงคำสั่งซื้อทั้งหมดที่ลูกค้าสั่งได้จากหน้าคำสั่งซื้อในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ

คุณสามารถใช้คำสั่งซื้อสำหรับทดสอบธุรกรรมประเภทต่างๆ ได้ ดังนี้:

เมื่อคุณสร้างคำสั่งซื้อ คืนเงิน และจัดการคำสั่งซื้อ คุณจะเห็นอีเมลที่ลูกค้าของคุณได้รับสำหรับแต่ละการดำเนินการ คุณสามารถแก้ไขเทมเพลตสำหรับอีเมลเหล่านี้ได้จากหน้าการแจ้งเตือนในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ

ขั้นตอนที่ 17: เพิ่มพนักงานไปยังร้านค้าของคุณ

หากคุณมีพนักงานที่ช่วยคุณจัดการและบริหารร้านค้าของคุณ คุณสามารถเพิ่มพนักงานไปยังร้านค้า Shopify ของคุณได้ พนักงานแต่ละคนมีข้อมูลการเข้าสู่ระบบส่วนบุคคล นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่าสิทธิ์อนุญาตสำหรับพนักงานแต่ละคนเพื่อจํากัดการเข้าถึงในบางด้านของร้านค้าของคุณและเก็บรักษาข้อมูลที่ละเอียดอ่อนทั้งหมดให้ปลอดภัย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการพนักงาน

ขั้นตอนที่ 18: ตั้งค่าโดเมนของคุณ

เมื่อตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณ คุณสามารถซื้อโดเมนใหม่หรือคุณถ่ายโอนโดเมนที่เชื่อมโยงกับร้านค้าที่มีอยู่ของคุณไปยังบัญชีผู้ใช้ Shopify ใหม่ของคุณได้

รับโดเมนใหม่

คุณสามารถซื้อโดเมนใหม่ได้โดยตรงจาก Shopify

ขั้นตอน:

  1. ซื้อโดเมนของคุณผ่าน Shopify
  2. ตั้งโดเมน Shopify เป็นโดเมนหลักของคุณเพื่อให้โดเมนนั้นเป็นโดเมนที่แสดงให้ลูกค้าเห็นในเบราว์เซอร์ ในผลการค้นหา และในโซเชียลมีเดีย
  3. ตั้งค่าการส่งต่ออีเมลเพื่อให้ข้อความอีเมลที่ลูกค้าส่งไปยังที่อยู่อีเมลที่มีโดเมนแบบกำหนดเองของคุณเปลี่ยนเส้นทางไปยังที่อยู่อีเมลส่วนบุคคลของคุณ

เชื่อมต่อหรือถ่ายโอนโดเมนที่มีอยู่ไปยัง Shopify

หากคุณมีโดเมนที่มีอยู่แล้ว ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อนำทางโดเมนของคุณไปยังร้านค้า Shopify

คุณสามารถใช้โดเมนที่มีอยู่ได้ แต่โครงสร้างลิงก์ของ Shopify ของแต่ละหน้ามีแนวโน้มที่จะแตกต่างจากบริการเดิมของคุณ ซึ่งหมายความว่าลิงก์เก่าที่เชื่อมโยงไปยังบางหน้าอาจไม่โหลดให้ลูกค้าเห็น ตัวอย่างเช่น หน้าเก่าเกี่ยวกับนโยบายการจัดส่งของคุณอาจมี URL example.com/policies/shipping-policy แต่บน Shopify หน้านี้อาจเป็น example.com/pages/shipping-policy

เพื่อช่วยให้ลูกค้าไม่เจอกับหน้าที่ผิดพลาด ก่อนที่คุณจะถ่ายโอนโดเมนของคุณ คุณสามารถตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง URL ไว้ล่วงหน้าไสำหรับหน้าใดๆ ที่ลูกค้าของคุณอาจบุ๊กมาร์กไว้หรือลิงก์จากแหล่งข้อมูลจากภายนอก ด้วยวิธีนี้ หากลูกค้าเยี่ยมชมลิงก์เก่าหลังจากที่คุณถ่ายโอนโดเมน ระบบก็จะเปลี่ยนเส้นทางไปยังลิงก์ใหม่แทนการแสดงหน้าที่ผิดพลาด

ขั้นตอน 19: โอนย้ายไปยัง Shopify POS

หากคุณมีที่ตั้งร้านค้าปลีกหรือขายโดยใช้ระบบขายหน้าร้าน คุณสามารถตั้งค่า Shopify POS เพื่อขายสินค้าให้แก่ลูกค้าของคุณด้วยตนเองทางหน้าร้านได้ หลังจากที่คุณได้นําเข้าข้อมูลร้านค้าและตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณแล้ว คุณสามารถเพิ่ม “Point of Sale” เป็นช่องทางการขายในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณได้

ตั้งค่า Shopify POS

คุณต้องตั้งค่า Shopify POS ก่อนจึงจะเริ่มขายสินค้าได้

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้มีการตั้งค่าพนักงาน สินค้า และตำแหน่งที่ตั้งเพื่อดำเนินการขายสินค้าทางหน้าร้านให้เสร็จสิ้น หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตั้งค่า Shopify POS ให้ดูที่การเริ่มต้นใช้งาน Shopify Point of Sale

ฮาร์ดแวร์

หากคุณกำลังโอนย้ายร้านค้าจาก Lightspeed ไปยัง Shopify POS ฮาร์ดแวร์บางประเภทของคุณอาจเข้ากันได้ ไปที่ฮาร์ดแวร์ POS ที่รองรับเพื่อดูรายการฮาร์ดแวร์ที่ Shopify POS รองรับ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโอนย้ายร้านค้าปลีกของคุณ

ขั้นตอนที่ 20: (ไม่บังคับ) ตั้งค่า SEO ของคุณเพื่อความสำเร็จ

คุณสามารถตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ ในเครื่องมือค้นหา (SEO) เพื่อรักษาอันดับในผลการค้นหาได้

ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง

คุณสามารถตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางสำหรับหน้าสำคัญทั้งหมดของคุณเพื่อช่วยรักษาอันดับการค้นหา SEO ของคุณ หลังจากเปิดใช้งานร้านค้าของคุณแล้ว คุณอาจต้องการตรวจสอบว่าหน้าใดบนเว็บไซต์ของคุณที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด และตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าเหล่านั้นเปลี่ยนเส้นทางไปยังร้านค้า Shopify ของคุณแล้ว นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ไฟล์ CSV เพื่อนําเข้าการเปลี่ยนเส้นทางของคุณ

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ ร้านค้าออนไลน์ > การนําทาง
  2. คลิก ดู URL สำหรับการเปลี่ยนเส้นทาง
  3. คลิก "สร้าง URL สำหรับเปลี่ยนเส้นทาง"
  4. ในช่องเปลี่ยนเส้นทางจาก ให้ป้อน URL ต้นทางที่คุณต้องการเปลี่ยนเส้นทางผู้เข้าชม
  5. ในช่องเปลี่ยนเส้นทางไปยัง ให้ป้อน URL ปลายทางของการเปลี่ยนเส้นทางผู้เข้าชม หากคุณต้องการเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าแรกของร้านค้า ให้ป้อน /
  6. คลิกบันทึกการเปลี่ยนเส้นทาง

การยืนยันว่าการเปลี่ยนเส้นทางของคุณใช้งานได้

หลังจากที่คุณตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางและเปิดใช้งานร้านค้าแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนเส้นทางนั้นถูกต้องโดยป้อน URL เดิมในเว็บเบราว์เซอร์และยืนยันว่าเปลี่ยนเส้นทางไปยัง URL เป้าหมาย ควรมีการตรวจสอบหน้าที่มีการเข้าชมมากที่สุดในร้านค้าอื่นๆ ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังร้านค้า Shopify ของคุณแล้ว

การแก้ไขคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อของคุณ

คำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อคือข้อความสั้นๆ ที่แสดงในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา คุณสามารถกำหนดคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อสำหรับเว็บเพจ หน้าสินค้า หน้าคอลเลกชัน และโพสต์บล็อกได้ใน Shopify ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแต่ละหน้ามีคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อที่ไม่ซ้ำกันซึ่งใช้ภาษาตรงๆ และเข้าใจง่าย คำอธิบายที่ดีจะทำให้ผู้คนคลิกลิงก์ไปยังร้านค้าของคุณมากขึ้น

โดยส่วนผู้ดูแล Shopify จะมีพื้นที่หลากหลายซึ่งคุณสามารถแก้ไขคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อได้ พิจารณาแก้ไขคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อต่อไปนี้เพื่อช่วยปรับร้านค้าของคุณให้เหมาะสมสำหรับเครื่องมือค้นหา:

ตรวจสอบยืนยันและส่งแผนผังเว็บไซต์ของคุณด้วย Google

ร้านค้า Shopify ทั้งหมดจะสร้างไฟล์ sitemap.xml ซึ่งมีลิงก์ที่เชื่อมไปยังสินค้า รูปภาพสินค้าหลัก หน้า คอลเลกชัน และบล็อกโพสต์ทั้งหมดของคุณโดยอัตโนมัติ โดยเครื่องมือค้นหา เช่น Google และ Bing จะใช้ไฟล์ดังกล่าวในการทำดัชนีให้กับเว็บไซต์ของคุณเพื่อที่หน้าร้านค้าของคุณจะได้แสดงในผลการค้นหา การส่งไฟล์แผนผังเว็บไซต์ของคุณให้กับ Google Search Console จะช่วยให้ Google สามารถค้นหาและทำดัชนีให้กับหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้

ไฟล์แผนผังเว็บไซต์จะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ คุณสามารถค้นหาได้ที่ไดเรกทอรีรากของโดเมนร้านค้า Shopify เช่น johns-apparel.com/sitemap.xml

ไฟล์แผนผังเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นจะเชื่อมโยงกับแผนผังเว็บไซต์แยกย่อยสำหรับสินค้า คอลเลกชัน บล็อก และเว็บเพจ ไฟล์แผนผังเว็บไซต์จะอัปเดตโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเพิ่มเว็บเพจ สินค้า คอลเลกชัน รูปภาพ หรือบล็อกโพสต์ใหม่ไปยังร้านค้าออนไลน์ Shopify ของคุณ

ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลและทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณอาจต้องใช้เวลา ทั้งนี้ Google ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไร

หลังจากที่เว็บไซต์ของคุณเปิดตัวแล้ว Google อาจใช้เวลาสองสามวันถึงสองสามสัปดาห์ในการจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณ หากต้องการตรวจสอบสถานะ คุณสามารถค้นหา Google เพื่อตรวจสอบสถานะดัชนีได้โดยพิมพ์ site: ตามด้วยโดเมนของคุณในแถบค้นหาของ Google—ตัวอย่างเช่น site:shopify.com

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้นหาและส่งแผนผังเว็บไซต์ของคุณไปยัง Google

การใช้แอปเพื่อ SEO

คุณสามารถใช้แอปเพื่อช่วย SEO ของเว็บไซต์ได้ แอป SEO จะช่วยปรับรูปภาพของคุณให้เหมาะสม เพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ และตรวจสอบลิงก์ที่เสียหาย

เรียกดูแอป SEO ใน Shopify App Store

พร้อมเริ่มต้นการขายด้วย Shopify แล้วหรือยัง

ทดลองใช้งานฟรี