ย้ายจาก WooCommerce
คู่มือนี้จะสรุปวิธีโอนย้ายร้านค้าของคุณจาก WooCommerce ไปยัง Shopify คุณสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ลืมงานการตั้งค่าหลักใดๆ
ในหน้านี้
- ขั้นตอนที่ 1: ตัดสินใจว่าจะใช้วิธีใดในการโอนย้ายเนื้อหาและข้อมูลของร้านค้า WooCommerce ของคุณไปยัง Shopify
- ขั้นตอนที่ 2: ส่งออกข้อมูลสินค้าจาก WooCommerce
- ขั้นตอนที่ 3: แก้ไขข้อมูลการส่งออกสินค้าจาก WooCommerce
- ขั้นตอนที่ 4: นําเข้าข้อมูลสินค้าของคุณไปยัง Shopify
- ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบยืนยันและจัดระเบียบสินค้าของคุณหลังจากการนําเข้า
- ขั้นตอนที่ 6: (ไม่บังคับ) ส่งออกข้อมูลลูกค้าจาก WooCommerce
- ขั้นตอนที่ 7: (ไม่บังคับ) แก้ไขข้อมูลลูกค้าจาก WooCommerce
- ขั้นตอนที่ 8: (ไม่บังคับ) นําเข้าข้อมูลลูกค้าของคุณไปยัง Shopify
- ขั้นตอนที่ 9: (ไม่บังคับ) นําเข้ารีวิวของคุณไปยัง Shopify
- ขั้นตอนที่ 10: (ไม่บังคับ) ส่งออกประวัติคำสั่งซื้อจาก WooCommerce
- ขั้นตอนที่ 11: (ไม่บังคับ) นำเข้าประวัติคำสั่งซื้อของคุณไปยัง Shopify
- ขั้นตอนที่ 12: ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูดี
- ขั้นตอนที่ 13: ตั้งค่าการจัดส่งของคุณ
- ขั้นตอนที่ 14: กําหนดค่าภาษีของคุณ
- ขั้นตอน ที่ 15: การตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงิน
- ขั้นตอนที่ 16: วางคำสั่งซื้อสำหรับทดสอบบางรายการ
- ขั้นตอนที่ 17: เพิ่มพนักงานไปยังร้านค้าของคุณ
- ขั้นตอนที่ 18: ตั้งค่าโดเมนของคุณ
- ขั้นตอนที่ 19: (ไม่บังคับ) ตั้งค่า SEO ของคุณเพื่อความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 1: ตัดสินใจว่าจะใช้วิธีใดในการโอนย้ายเนื้อหาและข้อมูลของร้านค้า WooCommerce ของคุณไปยัง Shopify
หลังจากที่คุณสร้างร้านค้าบน Shopify แล้ว ให้ตรวจสอบร้านค้า WooCommerce ที่มีอยู่ของคุณและเลือกข้อมูลรวมถึงเนื้อหาที่คุณต้องการโอนย้ายไปยัง Shopify โดยคุณสามารถโอนย้ายข้อมูลต่อไปนี้จาก WooCommerce ได้แก่
- สินค้า
- ลูกค้า
- ประวัติคำสั่งซื้อ (คำสั่งซื้อที่ได้รับการจัดการแล้ว)
- รีวิว
นอกจากนี้คุณยังต้องตัดสินใจด้วยว่าจะใช้วิธีใดในการถ่ายโอนเนื้อหาแต่ละประเภท ตรวจสอบตัวเลือกต่อไปนี้:
วิธีการย้าย | คำอธิบาย |
---|---|
คัดลอกและวางด้วยตัวเอง | คัดลอกเนื้อหาจากร้านค้า WooCommerce ที่มีอยู่ของคุณและวางในร้านค้าใหม่ใน Shopify |
แอปย้ายข้อมูลร้านค้า (สิทธิ์เข้าถึงก่อนใคร) | (สิทธิ์เข้าถึงก่อนใคร) โอนย้ายสินค้า WooCommerce ของคุณไปยัง Shopify โดยใช้แอปย้ายข้อมูลร้านค้าของ Shopify |
การนำเข้า CSV | ส่งออกข้อมูลของคุณเป็นไฟล์ CSV และนําเข้าไปยังร้านค้า Shopify ใหม่ของคุณ (ไม่สามารถโอนย้ายข้อมูลบางส่วนด้วยวิธีนี้ได้) |
แอปย้ายข้อมูลจากภายนอก | ใช้แอปย้ายข้อมูลจากภายนอกจาก Shopify App Store |
ผูู้เชี่ยวชาญด้านการย้าย | จ้าง Shopify Partner เพื่อจัดการและดำเนินการย้ายให้เสร็จสมบูรณ์ |
แอปย้ายข้อมูลร้านค้าของ Shopify
แอปย้ายข้อมูลร้านค้าเป็นแอปภายในใหม่ที่ช่วยให้คุณนำเข้าสินค้าจาก WooCommerce ไปยัง Shopify ได้อย่างง่ายดายในไม่กี่คลิก
ก่อนที่คุณจะใช้แอปย้ายข้อมูลร้านค้า ให้ตรวจสอบข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้
- Shopify อนุญาตให้มีตัวเลือกสินค้าเพียง 3 รายการเท่านั้น สินค้าที่มีตัวเลือกมากกว่า 3 รายการจะไม่มีการนำเข้าตัวเลือกเพิ่มเติม ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ผ่านแอปผู้ให้บริการภายนอกหรือเมตาฟิลด์
ขั้นตอน:
-
เริ่มทดลองใช้งาน Shopify ฟรี และกรอกแบบฟอร์มสมัครใช้งานให้เสร็จสิ้น เมื่อกรอกแบบฟอร์ม ให้เลือกคำตอบต่อไปนี้:
- สำหรับคำถาม มาเริ่มกันเลย ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับตัวคุณมากที่สุด ให้เลือกฉันขายสินค้าทางออนไลน์หรือที่หน้าร้านอยู่แล้ว
- สำหรับคำถามที่ว่าคุณกำลังขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอื่นอยู่หรือไม่ ให้เลือก WooCommerce
หลังจากที่สร้างร้านค้าของคุณและคุณมีสิทธิ์เข้าถึงส่วนผู้ดูแล Shopify แล้ว ให้ติดตั้งแอปย้ายข้อมูลร้านค้า โดยคลิกลิงก์ในคู่มือการตั้งค่า
-
หลังจากติดตั้งแอปย้ายข้อมูลร้านค้า ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
- ส่งออกสินค้าของคุณจาก WooCommerce ในรูปแบบ CSV และอัปโหลด CSV ดังกล่าวล งในแอป โดยไม่จำเป็นต้องทำการเปลี่ยนแปลงใน CSV
หลังจากอัปโหลดไฟล์ CSV ของคุณแล้ว ให้คลิกนําเข้าเพื่อเริ่มกระบวนการนําเข้าสินค้า
หลังจากการนำเข้าเสร็จสมบูรณ์ รายงานจะแสดงจำนวนรายการที่นำเข้า หากเกิดปัญหาในการนำเข้า รายการสินค้าพร้อมคำอธิบายปัญหาจะรวมอยู่ในรายงานด้วย
ข้อมูลที่เหลือในคู่มือนี้จะแนะนำให้ใช้ไฟล์ CSV หากมี แต่จะมีหมายเหตุเกี่ยวกับตัวเลือกอื่นๆ ไว้ให้เมื่อไม่สามารถใช้ไฟล์ CSV ได้
ขั้นตอนที่ 2: ส่งออกข้อมูลสินค้าจาก WooCommerce
คุณสามารถส่งออกข้อมูลสินค้าจาก WooCommerce ได้
ขั้นตอน:
- จากบัญชี WooCommerce ของคุณ ไปที่ สินค้าทั้งหมด > สินค้า
- คลิกที่ส่งออก
-
ในกล่องโต้ตอบ ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
- เลือกคอลัมน์ที่คุณต้องการส่งออก
- เลือกสินค้าที่คุณต้องการส่งออก
- เลือกหมวดหมู่สินค้าที่คุณต้องการส่งออก
- ตัวเลือกเสริม: หากต้องการส่งออกข้อมูลเมตาแบบกำหนดเองทั้งหมด ให้เลือก ใช่ ส่งออกข้อมูลเมตาแบบกำหนดเองทั้งหมด
- คลิก สร้างไฟล์ CSV
ตั้งชื่อไฟล์ว่า
WooProductDownload.csv
จากนั้นคลิกบันทึกไฟล์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ
ขั้นตอนที่ 3: แก้ไขข้อมูลการส่งออกสินค้าจาก WooCommerce
คุณต้องแก้ไขไฟล์ CSV ก่อนจึงจะสามารถนำเข้าไปยัง Shopify ได้
คุณสามารถดาวน์โหลดและดูเทมเพลตสินค้าแบบไฟล์ CSV แล้วแก้ไขไฟล์ WooProductDownload.csv
ของคุณให้สอดคล้องกับรูปแบบนั้น ทั้งนี้ คุณควรทำงานในอีกแท็บหนึ่งบนไฟล์ CSV ของคุณ ในแท็บอื่นๆ คุณสามารถคัดลอกส่วนหัวของคอลัมน์แล้วคัดลอกและวางข้อมูลการนําเข้า WooCommerce ของคุณลงในเทมเพลต CSV สินค้าของ Shopify ได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์ CSV มีเฉพาะข้อมูลสินค้าแบบไฟล์ CSV ตามเทมเพลตของ Shopify จากร้านค้าของคุณเท่านั้น ก่อนที่จะนําเข้าไฟล์ดังกล่าว
หากคุณใช้ไฟล์ตัวอย่าง โปรดตรวจสอบรายละเอียดต่อไปนี้:
- ไฟล์ตัวอย่างประกอบไปด้วย สินค้าตัวอย่าง และตัวเลือกสินค้าสองถึงสามชนิด ไฟล์ที่นำเข้าของคุณอาจมีสินค้าและตัวเลือกสินค้ามากกว่า หากคุณใช้ไฟล์ตัวอย่างเพื่อสร้างไฟล์นำเข้าของคุณเอง โปรดอย่าลืมลบสินค้าตัวอย่างทั้งหมดออก
- ไฟล์ตัวอย่างจะมี Variant Inventory Qty คอลัมน์ ซึ่งใช้เฉพาะสำหรับร้านค้าที่มีตำแหน่งที่ตั้งเดียว หากคุณมีหลายตำแหน่งที่ตั้งและต้องการนำเข้าหรือส่งออกจำนวนสินค้าคงคลัง โปรดใช้ไฟล์ CSV สินค้าคงค ลัง
- ไฟล์ตัวอย่างประกอบด้วยคอลัมน์ Price / International และ Compare At Price / International แต่ทั้งสองคอลัมน์ถูกเว้นว่างไว้ เนื่องจากไม่มีข้อกําหนดการกําหนดราคาที่ไม่ซ้้ากันใดๆ กับสินค้าเหล่านี้เมื่อขายสินค้าระหว่างประเทศ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอลัมน์ CSV ของ Shopify International
คุณสามารถใช้ Google ชีตในการแก้ไขไฟล์ CSV ของคุณในแบบฉบับที่ผ่านการจัดรูปแบบแล้ว นอกจากนี้คุณยังสามารถแก้ไขไฟล์โดยใช้แอปพลิเคชันสเปรดชีตยอดนิยมอื่นๆ เช่น Microsoft Excel หรือ Numbers
ตรวจสอบตารางต่อไปนี้เพื่อหาคอลัมน์ที่ตรงกันระหว่างประเภทข้อมูลของ WooCommerce กับประเภทข้อมูลของ Shopify ลบคอลัมน์อื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงในตารางออกจากไฟล์ส่งออกของ WooCommerce โดยจะมีบางคอลัมน์ที่พร้อมใช้งานในไฟล์ CSV สำหรับสินค้าของ Shopify ซึ่งไม่อ ยู่ในไฟล์ส่งออกสินค้าของ WooCommerce เราไม่ได้ระบุถึงคอลัมน์เหล่านั้นในรายการด้านล่างนี้ แต่คุณก็อาจต้องตรวจสอบคอลัมน์ดังกล่าวด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละคอลัมน์ต้องใช้ในไฟล์ CSV สำหรับสินค้า
ประเภทข้อมูล WooCommerce | ประเภทของข้อมูล Shopify | การดำเนินการ |
---|---|---|
ชื่อ | ชื่อ | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
คำอธิบาย | เนื้อหา (HTML) | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
ชื่อคุณลักษณะ 1 | ชื่อตัวเลือก 1 | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
ค่าคุณลักษณะ 1 | ค่าตัวเลือก 1 | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify หากช่องค่าคุณลักษณะ WooCommerce 1 ของคุณมีหลายตัวเลือก ให้สร้างแถวใหม่สำหรับตัวเลือกต่างๆ คุณสามารถมีค่าตัวเลือกได้เพียงค่าเดียวต่อแถว |
ชื่อคุณลักษณะ 2 | ชื่อตัวเลือกที่ 2 | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
ค่าคุณลักษณะ 2 | ค่าตัวเลือกที่ 2 | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify หากช่องค่าคุณลักษณะ WooCommerce 2 ของคุณมีหลายตัวเลือก ให้สร้างแถวใหม่สำหรับตัวเลือกต่างๆ คุณสามารถมีค่าตัวเลือกได้เพียงค่าเดียวต่อแถว คุณสามารถมีค่าตัวเลือกได้เพียงค่าเดียวต่อแถว |
รหัสสินค้าคงคลัง | SKU ของตัวเลือกสินค้า | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
น้ำหนัก (ปอนด์) | ตัวเลือกสินค้าที่มีหน่วยเป็นกรัม | แปลงหน่วยปอนด์เป็นกรัมโดยคูณค่า ดังกล่าวด้วย 453.6 เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
สต็อก | ปริมาณสินค้าคงคลังของตัวเลือกสินค้า | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
ราคาปกติ | ราคาของตัวเลือกสินค้า | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
รูปภาพ | รูปภาพ Src | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
ขั้นตอนที่ 4: นําเข้าข้อมูลสินค้าของคุณไปยัง Shopify
หลังจากที่คุณมีไฟล์ WooProductDownload.csv
และแก้ไขสิ่งที่จําเป็นเสร็จสิ้นแล้ว คุณก็จะนําเข้าสินค้า WooCommerce ของคุณไปยัง Shopify ได้
ขั้นตอน:
- จากส่วนผู้ดูแลระบบ Shopify ของคุณ ให้ไปที่สินค้า
- คลิกที่นำเข้า
- คลิก "เพิ่มไฟล์" จากนั้นเลือกไฟล์
WooProductDownload.csv
- ยกเลิกการเลือก “เผยแพร่สินค้าใหม่ ไปยังช่องทางการขายทั้งหมด” จากนั้นคลิก “อัปโหลดและแสดงตัวอย่าง”
- ดูตัวอย่างรายละเอียดเกี่ยวกับการนําเข้าจากนั้นคลิก “นําเข้าสินค้า” หลังจากอัปโหลดไฟล์ CSV แล้ว Shopify จะส่งอีเมลยืนยันไปยังที่อยู่อีเมลที่คุณใช้ตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณ อ่านแนวทางแก้ไขปัญหาทั่วไปหรือข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการนําเข้าสินค้าด้วยไฟล์ CSV
ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบยืนยันและจัดระเบียบสินค้าของคุณหลังจากการนําเข้า
หลังจากที่คุณนําเข้าสินค้าไปยัง Shopify แล้ว ให้ตรวจสอบยืนยันว่าระบบนําเข้าข้อมูลทั้งหมดของคุณอย่างถูกต้อง รายละเอียดต่างๆ เช่น ราคา น้ำหนัก และสินค้าคงคลังอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณหากระบบ ไม่ได้นําเข้าอย่างถูกต้อง
ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการนําเข้าทั่วไป
ปัญหา | ความละเอียด |
---|---|
นำเข้าสินค้าสำเร็จ แต่ไม่ได้เผยแพร่ | หากสินค้าที่คุณนําเข้าถูกทำเครื่องหมายเป็นซ่อนไว้ ระบบจะไม่เผยแพร่สินค้าเหล่านั้นจนกว่าคุณจะตั้งค่าให้พร้อมจำหน่ายในช่องทางการขายของคุณ |
รายละเอียดของสินค้าที่นำเข้าตกหล่น | ตรวจสอบคำอธิบายสินค้าในหน้าสินค้า แล้วกรอกข้อมูลที่ขาดหายไป |
ไม่สามารถนำเข้าตัวเลือกสินค้าได้ | หากสินค้าไม่มีตัวเลือกสินค้า ระบบก็จะนําเข้าสินค้าที่ว่าไม่สำเร็จ คุณสามารถเพิ่มสินค้าดังกล่าวไปยังร้านค้า Shopify ด้วยตนเองแทนได้ |
ตรวจสอบและจัดระเบียบสินค้าของคุณ
- ตรวจสอบรายละเอียดสินค้า รวมถึงคำอธิบายสินค้า รูปภาพ ตัวเลือกสินค้า ราคา และคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อ
- สร้างคอลเลกชันสินค้าเพื่อจัดระเบียบสินค้าของคุณให้เป็นหมวดหมู่ต่างๆ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถจัดกลุ่มสินค้าขทั้งในส่วนผู้ดูแล Shopify และบนเว็บไซต์ภายนอกได้
- ทำความเข้าใจสินค้าคงคลังและการถ่ายโอนสินค้าเพื่อตรวจดูสินค้าคงคลังในธุรกิจของคุณ ตรวจสอบแอปสินค้าคงคลังที่มีอยู่เพื่อดูว่าจำเป็นต่อธุรกิจของคุณหรือไม่
ขั้นตอนที่ 6: (ไม่บังคับ) ส่งออกข้อมูลลูกค้าจาก WooCommerce
คุณสามารถส่งออกข้อมูลลูกค้าของคุณจาก WooCommerce ได้
ก่อนที่คุณจะเริ่ม คุณต้องติดตั้งปลั๊กอิน ในร้านค้า WooCommerce ของคุณก่อน
ขั้นตอน:
- จากบัญชี WooCommerce ของคุณ ให้ไปที่ Import Export Suite (นำเข้าชุดเครื่องมือการส่งออก)
- คลิกที่ส่งออก
- ในกล่องโต้ตอบ ให้เลือก ผู้ใช้/ลูกค้า จากเมนูดรอปดาวน์ จากนั้นคลิกที่ ขั้นตอนที่ 2: เลือกวิธีการส่งออก
-
ในกล่องโต้ตอบถัดไป ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้:
- เลือกวิธีการส่งออก
- เลือกช่องที่ซ่อนอยู่ที่คุณต้องการรวมไว้
- คลิก ขั้นตอนที่ 3: ตัวเลือกขั้นสูง/การส่งออกแบตช์/การกำหนดเวลา
-
ในกล่องโต้ตอบถัดไป จากนั้นให้ดำเนินการดังต่อไปนี้:
- หากต้องการส่งออกผู้ใช้ชั่วคราว ให้เลือก ใช่ มิฉะนั้น ให้เลือก ไม่
- ตั้งชื่อไฟล์ส่งออกของคุณ
WooCustomerDownload
- เลือกรูปแบบการส่งออกไฟล์ CSV จากนั้นเลือก อักขระคั่น อักขระคั่นมีไว้เพื่อแยกองค์ประกอบต่างๆ ในข้อมูลดิบ
- คลิก “ส่งออก”
ขั้นตอนที่ 7: (ไม่บังคับ) แก้ไขข้อมูลลูกค้าจาก WooCommerce
ไฟล์ WooCustomerDownload.csv
ที่ส่งออกมานั้นจะไม่สามารถนำเข้าไปยัง Shopify ได้หากไม่ได้แก้ไขไฟล์ CSV ก่อน ดาวน์โหลดและดูเทมเพลตลูกค้าเป็นรูปแบบ CSV จากนั้นแก้ไขไฟล์WooCustomerDownload.csv
ของคุณให้ตรงกับรูปแบบ CSV นั้น ทั้งนี้ คุณควรทำงานในอีกแท็บหนึ่งบนไฟล์ CSV ของคุณ ในแท็บอื่นๆ คุณสามารถคัดลอกส่วนหัวของคอลัมน์แล้วคัดลอกและวางข้อมูลการนําเข้า WooCommerce ของคุณลงในเทมเพลต CSV ของลูกค้า Shopify ได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์ CSV ของคุณมีเฉพาะข้อมูล CSV ของลูกค้าของ Shopify ที่ปรับมาจากร้านค้าของคุณก่อนที่จะนําเข้า
เราขอแนะนำให้ใช้ Google Sheets ในการแก้ไขไฟล์ CSV เวอร์ชันที่จัดรูปแบบแล้ว แม้ว่าแอปพลิเคชันสเปรดชีตที่เป็นที่นิยมอื่นๆ เช่น Microsoft Excel หรือ Numbers อาจจะใช้ได้ก็ตาม
ตรวจสอบไฟล์ส่งออกในส่วนคอลัมน์ที่จับคู่กับประเภทข้อมูลของ Shopify โดยจะมีบางคอลัมน์ในไฟล์ CSV สำหรับลูกค้าของ Shopify ซึ่งไม่อยู่ในไฟล์ส่งออกลูกค้าของ WooCommerce ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละคอลัมน์ต้องใช้ในไฟล์ CSV สำหรับลูกค้า
ประเภทข้อมูล WooCommerce | ประเภทของข้อมูล Shopify | การดำเนินการ |
---|---|---|
first_name | ชื่อ | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
last_name | นามสกุล | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
user_email | อีเมล | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
billing_company | บริษัทของที่อยู่เริ่มต้น | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
billing_address_1 | ที่อยู่ 1 ของที่อยู่เริ่มต้น | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
billing_address_2 | ที่อยู่ของที่อยู่ตามค่าเริ่มต้น 2 | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
billing_city | เมืองของที่อยู่ตามค่าเริ่มต้น | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
billing_state | รหัสจังหวัดของที่อยู่เริ่มต้น | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify คอลัมน์นี้ควรมีรหัส ISO ของรัฐหรือจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่เริ่มต้นของลูกค้า |
billing_country | รหัสประเทศของที่อยู่เริ่มต้น | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify คอลัมน์นี้ควรมีรหัส ISO ของประเทศที่เชื่อมโยงกับที่อยู่เริ่มต้นของลูกค้า |
billing_postcode | ZIP ของที่อยู่เริ่มต้น | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
billing_phone | โทรศัพท์ | เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็นประเภทข้อมูลของ Shopify |
ขั้นตอนที่ 8: (ไม่บังคับ) นําเข้าข้อมูลลูกค้าของคุณไปยัง Shopify
หลังจากที่คุณมีไฟล์ WooCustomerDownload.csv
และแก้ไขสิ่งที่จําเป็นเสร็จสิ้นแล้ว คุณก็จะนําเข้าลูกค้า WooCommerce ของคุณไปยัง Shopify ได้
ขั้นตอน:
- จากส่วนผู้ดูแลระบบ ให้ไปที่ ลูกค้า
- คลิกที่นำเข้า
- คลิก "เพิ่มไฟล์" จากนั้นเลือกไฟล์
WooCustomerDownload.csv
- คลิกนำเข้าลูกค้า
- ดูตัวอย่างรายละเอียดเกี่ยวกับการ นําเข้าจากนั้นคลิก “นําเข้าลูกค้า”
- ตรวจสอบข้อมูลสรุปการนำเข้าลูกค้า จากนั้นคลิก “ดูลูกค้าทั้งหมด”
ขั้นตอนที่ 9: (ไม่บังคับ) นําเข้ารีวิวของคุณไปยัง Shopify
คุณไม่สามารถส่งออกหรือโอนย้ายรีวิวจาก WooCommerce ไปยัง Shopify ได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถนำเข้ารีวิวได้ด้วยตัวเองผ่านแอปจากภายนอกทาง Shopify App Store แอปต่อไปนี้สามารถช่วยนำเข้ารีวิว ได้แก่
ขั้นตอนที่ 10: (ไม่บังคับ) ส่งออกประวัติคำสั่งซื้อจาก WooCommerce
คุณสามารถส่งออกประวัติคำสั่งซื้อจาก WooCommerce ได้
ก่อนที่คุณจะเริ่ม คุณต้องติดตั้งปลั๊กอิน ในร้านค้า WooCommerce ของคุณก่อน
ขั้นตอน:
- จากบัญชี WooCommerce ของคุณ ให้ไปที่ Import Export Suite (นำเข้าชุดเครื่องมือการส่งออก)
- คลิกที่ส่งออก
- เลือก คำสั่งซื้อ สำหรับประเภทโพสต์ จากนั้นคลิก ขั้นตอนที่ 2: เลือกวิธีการส่งออก
-
ในกล่องโต้ตอบถัดไป ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
- เลือกวิธีการส่งออก
- ตรวจสอบช่องที่ซ่อนอยู่ที่คุณต้องการรวมไว้
- คลิก ขั้นตอนที่ 3: ตัวเลือกขั้นสูง/การส่งออกแบตช์/การกำหนดเวลา
-
ตัวเลือกเสริ ม: หากคุณเลือกที่จะย้ายไปยังขั้นตอนที่ 3 ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้:
- หากต้องการส่งออกผู้ใช้ชั่วคราว ให้เลือก ใช่ มิฉะนั้น ให้เลือก ไม่
- ตั้งชื่อไฟล์ส่งออกของคุณ
WooOrdersDownload
- เลือกรูปแบบการส่งออกไฟล์ CSV จากนั้นเลือก อักขระคั่น อักขระคั่นมีไว้เพื่อแยกองค์ประกอบต่างๆ ในข้อมูลดิบ
- คลิกที่ส่งออก
ขั้นตอนที่ 11: (ไม่บังคับ) นำเข้าประวัติคำสั่งซื้อของคุณไปยัง Shopify
คุณสามารถใช้แอปย้ายข้อมูลจากภายนอกใน Shopify App Store เพื่อโอนย้ายประวัติคำสั่งซื้อจาก WooCommerce ไปยัง Shopify ได้ แอปต่อไปนี้สามารถช่วยนำเข้าประวัติคำสั่งซื้อได้
ขั้นตอนที่ 12: ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูดี
เพื่อช่วยคุณเริ่มต้นใช้งาน หน้าธีม ในส่วนผู้ดูแลจะใช้ธีมเริ่มต้นเมื่อคุณเปิดบัญชีผู้ใช้กับ Shopify คุณต้องปรับแต่งธีมของคุณเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีรูปลักษณ์ตามที่ต้องการ หากคุณต้องการปรับแต่งธีมอื่นให้กับร้านค้าออนไลน์ คุณสามารถเพิ่มผ่านส่วนผู้ดูแล Shopify ได้
หากต้องการเพิ่มธีมให้กับร้านค้าออนไลน์ ให้เลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งต่อไปนี้
- เพิ่มธีมฟรีจากภายในส่วนผู้ดูแล
- ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายจากร้านค้าธีม Shopify แม้ว่าคุณจะต้องซื้อธีมแบบมีค่าใช้จ่ายก่อนที่จะเผยแพร่ธีมเหล่านั้นไปยังร้านค้าออนไลน์ของคุณ แต่คุณสามารถลองใช้ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายก่อนซื้อได้
เพิ่มธีมฟรีจากส่วนผู้ดูแลระบบ
ธีมฟรีพัฒนาโดย Shopify และความช่วยเหลือในการปรับแต่งธีมฟรีสนับสนุนโดย Shopify
ขั้นตอน:
เพิ่มธีมจากร้านค้าธีม
ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายได้รับการพัฒนาโดยนักออกแบบที่เป็นบุคคลภายนอก และการปรับแต่งธีมภายนอกจะมีนักออกแบบธีมเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ
ขั้นตอน:
- เยี่ยมชมร้านค้าธีมของ Shopify และเลือกธีมที่ต้องการ หากคุณยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ฟรี ให้เลือกธีมฟรีเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกเก็บเงินใดๆ
- เมื่อเลือกธีมฟรีแล้ว ให้คลิก “เพิ่มธีม” หรือ “เริ่มใช้ธีมนี้” หากเลือกธีมแบบมีค่าใช้จ่าย ให้คลิก “ซื้อ” เพื่อซื้อธีมที่ต้องการ ทั้งนี้ ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายไม่สามารถขอคืนเงินได้ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าธีมดังกล่าวตรงกับความต้องการของคุณ คุณสามารถลองใช้ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายก่อนทำการซื้อได้
- สำหรับธีมแบบมีค่าใช้จ่าย ให้คลิก “อนุมัติ” เพื่ออนุมัติการชำระเงิน ธีมจะเพิ่มไปยังหน้าธีมของส่วนผู้ดูแลระบบ
ลองใช้ธีมแบบเสียค่าใช้จ่ายในร้านค้าของคุณ
คุณสามารถลองใช้ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายเพื่อดูตัวอย่างว่าดูเหมาะสมกับสินค้า สีของแบรนด์ และสไตล์ของคุณหรือไม่ก่อนตัดสินใจซื้อธีม ระหว่างที่แสดงตัวอย่างธีม คุณสามารถปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ได้โดยใช้ตัวแก้ไขธีม การเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามจะบันทึกไว้เมื่อคุณสั่งซื้อธีมเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถดูตัวอย่างธีมแบบมีค่าใช้จ่ายได้ถึง 19 ธีมซึ่งเปิดโอกาสให้คุณเปรียบเทียบธีมต่างๆ ได้ก่อนจะสั่งซื้อ
ขั้นตอน:
- เยี่ยมชมร้านค้าธีมของ Shopify และเลือกธีมแบบมีค่าใช้จ่าย
- คลิกลองใช้ธีม ตัวอย่างธีมจะโหลดขึ้นบนร้านค้าออนไลน์ของคุณ
- ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
- หากต้องการหยุดแสดงตัวอย่างธีม ให้คลิกปิดตัวอย่าง
- หากต้องการซื้อธีม ให้คลิก “ซื้อธีม”
- หากต้องการแก้ไขการตั้งค่าธีมโดยใช้ตัวแก้ไขธีม ให้คลิกปรับแต่งธีม
หากคุณเลือกที่จะไม่ซื้อธีมดังกล่าว ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายจะยังคงเพิ่มไปยังหน้าธีมของส่วนผู้ดูแลระบบ ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายที่ลองใช้จะมีป้ายธีมทดลองระบุไว้
ขั้นตอนที่ 13: ตั้งค่าการจัดส่งของคุณ
คุณต้องกำหนดอัตราค่าจัดส่งและวิธีจัดส่งอย่างถูกต้องก่อนที่คุณจะเปิดตัวร้านค้า เพื่อที่คุณจะไม่ต้องเสียเวลาคืนเงินให้ลูกค้าสำหรับการเก็บเงินเกินจำนวน หรือส่งอีเมลถึงลูกค้าเพื่อขอให้ชำระเงินเพิ่มเนื่องจากคุณไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการอย่างเพียงพอซึ่งครอบคลุมค่าจัดส่ง
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดส่งและการจัดการคำสั่งซื้อ โปรดคลิก ที่นี่
ขั้นตอน:
- ตรวจสอบ ที่อยู่ของร้านค้าคุณเพื่อรับอัตราค่าจัดส่งที่ถูกต้องตามตำแหน่งที่ตั้งของคุณ หากคุณจัดส่งจากที่อื่น ให้เพิ่มที่อยู่เป็นตำแหน่งที่ตั้ง
- สร้างเขตการจัดส่งเพื่อใช้การจัดส่งไปยังภูมิภาค รัฐ และประเทศต่างๆ
- หากคุณใช้อัตราค่าจัดส่งหลังการคำนวณของผู้ขนส่ง ให้กำหนดขนาดการจัดส่งของคุณ ผู้ขนส่งหลายรายใช้การวิเคราะห์น้ำหนักตามปริมาตร (ความสูง น้ำหนัก และความลึกของบรรจุภัณฑ์) เพื่อคำนวณอัตราค่าจัดส่ง
- กำหนดอัตราค่าจัดส่งสำหรับเขตการจัดส่งที่คุณสร้างขึ้น
- เลือกกลยุทธ์การจัดส่งที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ คุณอาจพบว่าการตรวจสอบตัวเลือกบางประการเพื่อดูว่าอะไรที่ตรงกับความต้องการของคุณก่อนตัดสินใจนั้นมีประโยชน์
- เลือกวิธีที่คุณต้องการจัดการคำสั่งซื้อของคุณ คุณสามารถจัดการและจัดส่งคำสั่งซื้อได้ด้วยตนเองหรือใช้บริการจัดการคำสั่งซื้อที่จัดส่งคำสั่งซื้อให้คุณ
ขั้นตอนที่ 14: กําหนดค่าภาษีของคุณ
การเรียกเก็บภาษีการขายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของคุณ มีกฎและข้อบังคับเกี่ยวกับภาษีการขายที่แตกต่างกันออกไปซึ่งใช้กับสินค้าของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าร้านค้าของคุณเป็นไปตามกฎเหล่านั้น โปรดใช้เวลาสักครู่เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการกำหนดภาษีของ Shopify
การเรียกเก็บภาษีตามปลายทางการจัดส่งของคุณ
เมื่อคุณ กำหนดการจัดส่งของคุณ คุณสามารถเรียกเก็บภาษีการจัดส่งกับสินค้าของคุณตามข้อบังคับด้านภาษีในจังหวัด รัฐ หรือภูมิภาคของลูกค้า โดย Shopify จะคำนวณภาษีดังกล่าวโดยอัตโนมัติ
หากคุณจำเป็นต้องปรับภาษีด้วยตนเอง คุณสามารถทำได้ด้วยการกำหนดภาษีเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่มีข้อจำกัดด้านภาษีที่แตกต่างกัน หรือคอลเลกชันสินค้าที่เฉพาะเจาะจง
การติดตามเรื่องภาษีของคุณ
เมื่อคุณกำหนดการตั้งค่าภาษีสำหรับสินค้าของคุณ คุณต้องคำนึงถึงวิธีการติดตามภาษีของคุณตลอดปี
หากไม่แน่ใจว่าจะใช้ระบบใดเพื่อติดตามภาษีของคุณ คุณอาจต้องดูแอปสำหรับการทำบัญชีบางแอปใน Shopify App Store
ขั้นตอนที่ 15: การตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงิน
เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะสามารถชำระเงินให้คุณได้ คุณจ ะต้องกำหนดผู้ให้บริการการชำระเงินผู้ให้บริการการชำระเงินช่วยให้คุณรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้อย่างปลอดภัยShopify Payments พร้อมให้บริการในบางประเทศ และมีผู้ให้บริการการชำระเงินภายนอกที่รองรับเป็นจำนวนมากที่ให้บริการด้วย
ตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงิน
- เลือกผู้ให้บริการการชำระเงินจาก Shopify หรือจากภายนอกที่ได้รับการรองรับ
- เปิดใช้ Shopify Payments หรือผู้ให้บริการการชำระเงินภายนอกในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ
- เลือกวิธีที่คุณต้องการอนุมัติและจัดเก็บการชำระเงินเมื่อลูกค้าซื้อของจากร้านค้าของคุณ
หลังจากที่คุณตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงินแล้ว คุณต้องกำหนดหน้าการชำระเงินของคุณเพื่อให้สามารถดำเนินการตามคำสั่งซื้อของลูกค้าได้
ตั้งค่าการชำระเงินของคุณ
- ตั้งค่าการจัดการคำสั่งซื้อของคุณและการอนุมัติการชำระเงิน
- เพิ่มนโยบายของร้านค้าของคุณ เพื่อให้ลูกค้าของคุณสามารถดูนโยบายของคุณได้ก่อนที่จะทำการชำระเงินให้เสร็จสมบูรณ์
- แก้ไขการตั้งค่าข้อมูลลูกค้าในขั้นตอนการชำระเงินของคุณ และตัดสินใจว่าคุณต้องการเก็บรวบรวมที่อยู่อีเมลเพื่ออัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมและโปรโมชันให้แก่ลูกค้าหรือไม่
ขั้นตอนที่ 16: วางคำสั่งซื้อสำหรับทดสอบบางรายการ
เมื่อคุณกำหนดค่าการตั้งค่าการชำระเงินของคุณแล้ว คุณควรลองทำธุรกรรมสักสองสามอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างใช้งานได ้ การใช้คำสั่งซื้อสำหรับทดสอบจะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการที่ลูกค้าของคุณดำเนินการเมื่อพวกเขาซื้อสินค้าของคุณ คุณสามารถเข้าถึงคำสั่งซื้อทั้งหมดที่ลูกค้าสั่งได้จากหน้าคำสั่งซื้อในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ
คุณสามารถใช้คำสั่งซื้อสำหรับทดสอบธุรกรรมประเภทต่างๆ ได้ ดังนี้:
- ทำธุรกรรมที่เสร็จสมบูรณ์และล้มเหลว
- คืนเงินและยกเลิกคำสั่งซื้อ
- จัดการคำสั่งซื้อให้สำเร็จหรือจัดการบางส่วน
- เก็บคำสั่งซื้อที่เสร็จสมบูรณ์อย่างถาวร
เมื่อคุณสร้างคำสั่งซื้อ คืนเงิน และจัดการคำสั่งซื้อ คุณจะเห็นอีเมลที่ลูกค้าของคุณได้รับสำหรับแต่ละการดำเนินการ คุณสามารถแก้ไขเทมเพลตสำหรับอีเมลเหล่านี้ได้จากหน้าการแจ้งเตือนในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ
ขั้นตอนที่ 17: เพิ่มพนักงานไปยังร้านค้าของคุณ
หากคุณมีพนักงานที่ช่วยคุณจัดการและบริหารร้านค้าของคุณ คุณสามารถเพิ่มพนักงานไปยังร้านค้า Shopify ของคุณได้ พนักงานแต่ละคนมีข้อมูลการเข้าสู่ระบบส่วนบุคคล นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่าสิทธิ์อนุญาตสำหรับพนักงานแต่ละคนเพื่อจํากัด การเข้าถึงในบางด้านของร้านค้าของคุณและเก็บรักษาข้อมูลที่ละเอียดอ่อนทั้งหมดให้ปลอดภัย
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการพนักงาน
ขั้นตอนที่ 18: ตั้งค่าโดเมนของคุณ
เมื่อตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณ คุณสามารถซื้อโดเมนใหม่หรือคุณถ่ายโอนโดเมนที่เชื่อมโยงกับร้านค้าที่มีอยู่ของคุณไปยังบัญชีผู้ใช้ Shopify ใหม่ของคุณได้
รับโดเมนใหม่
คุณสามารถซื้อโดเมนใหม่ได้โดยตรงจาก Shopify
ขั้นตอน:
- ซื้อโดเมนของคุณผ่าน Shopify
- ตั้งโดเมน Shopify เป็นโดเมนหลักของคุณเพื่อให้โดเมนนั้นเป็นโดเมนที่แสดงให้ลูกค้าเห็นในเบราว์เซอร์ ในผลการค้นหา และในโซเชียลมีเดีย
- ตั้งค่าการส่งต่ออีเมลเพื่อให้ข้อความอีเมลที่ลูกค้าส่งไปยังที่อยู่อีเมลที่มีโดเมนแบบกำหนดเองของคุณเปลี่ยนเส้นทางไปยังที่อยู่อีเมลส่วนบุคคลของคุณ
เชื่อมต่อหรือถ่ายโอนโดเมนที่มีอยู่ไปยัง Shopify
หากคุณมีโดเมนที่มีอยู่แล้ว ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อนำทางโดเมนของคุณไปยังร้านค้า Shopify
คุณสามารถใช้โดเมนที่มีอยู่ได้ แต่โครงสร้างลิงก์ของ Shopify ของแต่ละหน้ามีแนวโน้มที่จะแตกต่างจากบริการเดิมของคุณ ซึ่งหมายความว่าลิงก์เก่าที่เชื่อมโยงไปยังบางหน้าอาจไม่โหลดให้ลูกค้าเห็น ตัวอย่างเช่น หน้าเก่าเกี่ยวกับนโยบายการจัดส่งของคุณอาจมี URL example.com/policies/shipping-policy
แต่บน Shopify หน้านี้อาจเป็น example.com/pages/shipping-policy
เพื่อช่วยให้ลูกค้าไม่เจอกับหน้าที่ผิดพลาด ก่อนที่คุณจะถ่ายโอนโดเมนของคุณ คุณสามารถตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง URL ไว้ล่วงหน้าไสำหรับหน้าใดๆ ที่ลูกค้าของคุณอาจบุ๊กมาร์กไว้หรือลิงก์จากแหล่งข้อมูลจากภายนอก ด้วยวิธีนี้ หากลูกค้าเยี่ยมชมลิงก์เก่าหลังจากที่คุณถ่ายโอนโดเมน ระบบก็จะเปลี่ยนเส้นทางไปยังลิงก์ใหม่แทนการแสดงหน้าที่ผิดพลาด
ขั้นตอนที่ 19: (ไม่บังคับ) ตั้งค่า SEO ของคุณเพื่อความสำเร็จ
คุณสามารถตั้ งค่าร้านค้า Shopify ของคุณเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ ในเครื่องมือค้นหา (SEO) เพื่อรักษาอันดับในผลการค้นหาได้
ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง
คุณสามารถตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางสำหรับหน้าสำคัญทั้งหมดของคุณเพื่อช่วยรักษาอันดับการค้นหา SEO ของคุณ หลังจากเปิดใช้งานร้านค้าของคุณแล้ว คุณอาจต้องการตรวจสอบว่าหน้าใดบนเว็บไซต์ของคุณที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด และตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าเหล่านั้นเปลี่ยนเส้นทางไปยังร้านค้า Shopify ของคุณแล้ว นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ไฟล์ CSV เพื่อนําเข้าการเปลี่ยนเส้นทางของคุณ
ขั้นตอน:
- จากส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ ร้านค้าออนไลน์ > การนําทาง
- คลิก ดู URL สำหรับการเปลี่ยนเส้นทาง
- คลิก "