โอนย้ายจาก Etsy

คู่มือนี้จะสรุปวิธีโอนย้ายร้านค้าของคุณจาก Etsy ไปยัง Shopify

คุณสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ลืมงานการตั้งค่าหลักใดๆ

ในหน้านี้

ขั้นตอนที่ 1: ตัดสินใจเลือกวิธีย้ายเนื้อหาและข้อมูลร้านค้า Etsy ของคุณไปยัง Shopify

หลังจากที่คุณได้สร้างร้านค้าบน Shopify แล้ว ให้ลองตรวจสอบร้านค้า Etsy ที่มีอยู่ของคุณและเลือกข้อมูลรวมถึงเนื้อหาที่คุณต้องการโอนย้ายไปยัง Shopify การโอนย้ายข้อมูลอาจเป็นเวลาที่เหมาะสมในการล้างเนื้อหาเก่าและมีประสิทธิภาพน้อย และช่วยให้เว็บไซต์รวมถึงธุรกิจของคุณมีรูปลักษณ์ที่สดใหม่ โดยคุณสามารถโอนย้ายข้อมูลต่อไปนี้จาก Etsy ได้แก่

  • สินค้า
  • ลูกค้า
  • ประวัติคำสั่งซื้อ (คำสั่งซื้อที่ได้รับการจัดการแล้ว)
  • การรีวิว

จากนั้นให้เลือกวิธีการถ่ายโอนเนื้อหาแต่ละประเภท ตรวจสอบตัวเลือกต่อไปนี้ ซึ่งมีตั้งแต่ความซับซ้อนทางเทคนิคน้อยที่สุดไปจนถึงความซับซ้อนทางเทคนิคมากที่สุด

วิธีการย้ายและคำอธิบาย
วิธีการย้าย คำอธิบาย
คัดลอกและวางด้วยตัวเอง คัดลอกเนื้อหาจากร้านค้า Etsy ที่มีอยู่ของคุณและวางในร้านค้า Shopify ใหม่
การนำเข้า CSV ส่งออกข้อมูลของคุณเป็นไฟล์ CSV และนําเข้าไปยังร้านค้า Shopify ใหม่ของคุณ (ไม่สามารถโอนย้ายข้อมูลบางส่วนด้วยวิธีนี้ได้)
แอปย้ายข้อมูลจากภายนอก ใช้แอปย้ายข้อมูลจากภายนอกจาก Shopify App Store
ผูู้เชี่ยวชาญด้านการย้าย จ้าง Shopify Partner เพื่อจัดการและดำเนินการย้ายให้เสร็จสมบูรณ์

ไฟล์ CSV มักจะเป็นวิธีที่ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่ายในการย้ายข้อมูลไปยัง Shopify แต่ถ้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้มีผลบังคับใช้กับคุณ คุณจะต้องแก้ไขไฟล์ CSV ก่อน จึงจะสามารถนําเข้าไฟล์ดังกล่าวไปยัง Shopify ได้: - คุณมีรูปภาพมากกว่าหนึ่งรูปภาพต่อรายการสินค้า - รายการสินค้าของคุณมีหลายรูปแบบ (หรือที่เรียกว่า "ตัวเลือกสินค้า" ใน Shopify)

ตรวจสอบคําแนะนําเกี่ยวกับวิธีแก้ไขไฟล์ CSV ในขั้นตอนที่ 3

ข้อมูลที่เหลือในคู่มือนี้จะแนะนำให้ใช้ไฟล์ CSV หากมี แต่จะมีหมายเหตุเกี่ยวกับตัวเลือกอื่นๆ ไว้เมื่อไม่สามารถใช้ไฟล์ CSV ได้

ขั้นตอนที่ 2: ส่งออกข้อมูลรายการสินค้าของคุณจาก Etsy

คุณสามารถส่งออกรายการสินค้าของคุณจาก Etsy และใช้การส่งออกเพื่อช่วยสร้างไฟล์ CSV ที่สามารถอัปโหลดไปยัง Shopify ได้

ขั้นตอน:

  1. เข้าสู่ระบบ Etsy
  2. จากส่วน "ตัวจัดการร้านค้า" ให้คลิกที่ "การตั้งค่า" > "ตัวเลือก"
    รูปภาพแถบการนําทางด้านข้างจากแพลตฟอร์ม Etsy ที่มีตัวจัดการร้านค้าและการตั้งค่าที่ไฮไลท์อยู่ในช่องสีแดง
    รูปภาพแถบการนําทางการตั้งค่าจากแพลตฟอร์ม Etsy ที่มีตัวเลือกที่ Highlight อยู่ในช่องสีแดง
  3. คลิกแท็บ "ดาวน์โหลดข้อมูล"
    รูปภาพจากตัวเลือกในการตั้งค่าแพลตฟอร์ม Etsy ที่มีแท็บดาวน์โหลดข้อมูลที่ไฮไลท์อยู่ในช่องสีแดง
  4. ในส่วนรายการสินค้าที่ขายในขณะนี้ ให้คลิกที่ดาวน์โหลด CSV
    รูปภาพจากหน้าดาวน์โหลดข้อมูลร้านค้าบนแพลตฟอร์ม Etsy ที่มีปุ่มดาวน์โหลด CSV ที่ไฮไลท์อยู่ในช่องสีแดง
  5. บันทึกไฟล์ที่มีชื่อว่า EtsyListingsDownload.csv ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

ขั้นตอนที่ 3: แก้ไขไฟล์ CSV ของรายการสินค้าก่อนที่จะนําเข้าไปยัง Shopify

หากรายการสินค้าของคุณมีหลายรูปแบบ (หรือที่เรียกว่าตัวเลือกสินค้าใน Shopify) คุณอาจต้องแก้ไขไฟล์ CSV ก่อน จึงจะสามารถนําเข้าไฟล์ไปยัง Shopify ได้

เราขอแนะนำให้ใช้ Google Sheets ในการแก้ไขไฟล์ CSV เวอร์ชันที่จัดรูปแบบแล้ว แม้ว่าแอปพลิเคชันสเปรดชีตที่เป็นที่นิยมอื่นๆ เช่น Microsoft Excel หรือ Numbers อาจจะใช้ได้ก็ตาม

การแก้ไขตัวเลือกสินค้าในรายการสินค้าของคุณ

หากคุณมีหลายตัวเลือกสินค้าในรายการสินค้า ระบบอาจไม่สามารถนำเข้าไฟล์ EtsyListingsDownload.csv ของคุณได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีการแก้ไข ตัวอย่างเช่น หากตัวเลือกสินค้าแต่ละรายการของคุณมี SKU ที่ไม่ซ้ำกัน ในไฟล์ CSV ของคุณจะต้องสร้างแถวหนึ่งแถวสำหรับการรวมตัวเลือกสินค้าที่ไม่ซ้ำกันหนึ่งชุด ซึ่งหมายความว่าหากคุณมีเสื้อยืดที่มีตัวเลือกขนาดเป็น "เล็ก กลาง ใหญ่" รวมถึงตัวเลือกสีเป็น "สีแดง สีเขียว สีฟ้า" คุณจะต้องสร้างแถวทั้งหมด 9 แถว โดยหนึ่งแถวเป็น "เล็ก" กับ "สีแดง" อีกหนึ่งแถวเป็น "เล็ก" กับ"สีเขียว" แบบนี้ไปจนครบ

ขั้นตอน:

  1. แทรกคอลัมน์ใหม่โดยเรียกว่า "ชื่อตัวเลือกที่ 1" และ "ค่าตัวเลือกที่ 1"
  2. ใช้รูปแบบเดียวกับขั้นตอนที่ 1 โดยให้แทรกคอลัมน์ตัวเลือกเพิ่มเติมให้มากที่สุดจนกว่าคุณจะมีทั้งคอลัมน์ชื่อและคอลัมน์ค่าตามจํานวนตัวเลือกสินค้าสูงสุดที่คุณมีตัวอย่างเช่น หากสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งของคุณมีตัวเลือกอยู่ 4 ตัวเลือก คุณควรสร้างคอลัมน์ตัวเลือกจนกว่าจะถึง "ชื่อตัวเลือกที่ 4" และ "ค่าตัวเลือกที่ 4"
  3. นำค่าจากคอลัมน์ "ชื่อรูปแบบที่ 1" และ "ค่ารูปแบบที่ 1" ที่มีอยู่แล้วจาก Etsy มาแทรกลงในคอลัมน์ "ชื่อตัวเลือกที่ 1" และ "ค่าตัวเลือกที่ 1" ใหม่ตามความเหมาะสม ใช้แถวรายการสินค้าเดิมเพื่อเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเลือกสินค้าแรกของคุณ จากนั้นเพิ่มแถวใหม่ตามที่จําเป็น (โดยคัดลอกชื่อเดียวกันไปใช้) เพื่อใส่ตัวเลือกสินค้าเพิ่มเติม
  4. หากคุณมีค่า SKU ในไฟล์ CSV Etsy ของคุณ:
    1. แทรกคอลัมน์ใหม่โดยเรียกว่า "SKU ตัวเลือกสินค้า"
    2. นำค่าจากคอลัมน์ "SKU" ที่มีอยู่เดิมมาแทรกลงในเซลล์ "SKU ตัวเลือกสินค้า" ที่เหมาะสมในแต่ละแถว

ตัวอย่างเช่น หากรายการสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งของคุณมีเซลล์ "ชื่อรูปแบบที่ 1" ที่มี "ขนาด", เซลล์ "ค่ารูปแบบที่ 1" ที่มี "S,M,L" และเซลล์ "SKU" ที่มี "TS123-S,TS123-M,TS123-L" ให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. สร้างแถวเปล่าสองแถวใหม่
  2. คัดลอกชื่อของรายการสินค้าไปยังสองแถวใหม่
  3. แทรก "ขนาด" ลงในเซลล์ "ชื่อตัวเลือกที่ 1" ของทั้งสามแถว
  4. แทรก "S" ลงในค่าตัวเลือกที่ 1 และ "TS123-S" ลงใน SKU ตัวเลือกสินค้าของรายการสินค้าเดิม
  5. แทรก "M" ลงใน ค่าตัวเลือกที่ 1 และ "TS123-M" ลงใน SKU ตัวเลือกสินค้าของแถวเพิ่มเติมแถวแรก
  6. แทรก "L" ลงในค่าตัวเลือกที่ 1 และ "TS123-L" ลงใน SKU ตัวเลือกสินค้าของแถวเพิ่มเติมแถวที่สอง

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอลัมน์ตัวเลือกสินค้าในไฟล์ CSV โปรดดูที่การใช้ไฟล์ CSV เพื่อนําเข้าและส่งออกสินค้า

ขั้นตอนที่ 4: นําเข้ารายการสินค้า Etsy ของคุณไปยัง Shopify

หลังจากที่คุณมีไฟล์ EtsyListingsDownload.csv และได้แก้ไขสิ่งที่จําเป็นเสร็จสิ้นแล้ว คุณก็จะนําเข้าสินค้า Etsy ของคุณไปยัง Shopify ได้

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแลระบบ Shopify ของคุณ ให้ไปที่สินค้า
  2. คลิกที่นำเข้า
  3. คลิก "เพิ่มไฟล์" จากนั้นเลือกไฟล์ EtsyListingsDownload.csv ที่ดาวน์โหลดไว้ในขั้นตอนที่ 2
  4. คลิก "อัปโหลดและแสดงตัวอย่าง"
  5. ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับการนําเข้า จากนั้นคลิก "นําเข้าสินค้า"

​​หลังจากอัปโหลดไฟล์ CSV แล้ว Shopify จะส่งอีเมลยืนยันไปยังที่อยู่อีเมลที่คุณใช้ตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณอ่านแนวทางแก้ไขปัญหาทั่วไปหรือข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการนําเข้าสินค้าด้วยไฟล์ CSV

ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบยืนยันและจัดระเบียบสินค้าของคุณหลังจากการนําเข้า

หลังจากที่คุณนําเข้าสินค้าไปยัง Shopify แล้ว ให้ตรวจสอบยืนยันว่าระบบนําเข้าข้อมูลทั้งหมดของคุณอย่างถูกต้อง รายละเอียดต่างๆ เช่น ราคา น้ำหนัก และสินค้าคงคลังอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณหากระบบไม่ได้นําเข้าอย่างถูกต้อง

ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการนําเข้าทั่วไป

ข้อผิดพลาดในการย้ายที่พบบ่อย
ปัญหา ความละเอียด
นำเข้าสินค้าสำเร็จ แต่ไม่ได้เผยแพร่ หากสินค้าที่คุณนําเข้าถูกทำเครื่องหมายเป็นซ่อนไว้ ระบบจะไม่เผยแพร่สินค้าเหล่านั้นจนกว่าคุณจะตั้งค่าให้พร้อมจำหน่ายในช่องทางการขายของคุณ
รายละเอียดของสินค้าที่นำเข้าตกหล่น ตรวจสอบคำอธิบายสินค้าในหน้าสินค้า แล้วกรอกข้อมูลที่ขาดหายไป
ไม่สามารถนำเข้าตัวเลือกสินค้าได้ หากสินค้าไม่มีตัวเลือกสินค้า ระบบก็จะนําเข้าสินค้าที่ว่าไม่สำเร็จ คุณสามารถเพิ่มสินค้าดังกล่าวไปยังร้านค้า Shopify ด้วยตนเองแทนได้

ตรวจสอบและจัดระเบียบสินค้าของคุณ

  1. ตรวจสอบรายละเอียดสินค้า รวมถึงคำอธิบายสินค้า รูปภาพ ตัวเลือกสินค้า ราคา และคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อ
  2. สร้างคอลเลกชันสินค้าเพื่อจัดระเบียบสินค้าของคุณให้เป็นหมวดหมู่ต่างๆ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถจัดกลุ่มสินค้าขทั้งในส่วนผู้ดูแล Shopify และบนเว็บไซต์ภายนอกได้
  3. ทำความเข้าใจสินค้าคงคลังและการถ่ายโอนสินค้าเพื่อตรวจดูสินค้าคงคลังในธุรกิจของคุณ ตรวจสอบแอปสินค้าคงคลังที่มีอยู่เพื่อดูว่าจำเป็นต่อธุรกิจของคุณหรือไม่

ขั้นตอนที่ 6: (ไม่บังคับ) นําเข้าลูกค้าและคำสั่งซื้อไปยัง Shopify

นอกจากนี้ คุณยังสามารถโอนย้ายประวัติคำสั่งซื้อและฐานข้อมูลลูกค้าของคุณไปยัง Shopify เพื่ออ้างอิงคำสั่งซื้อที่ผ่านมาของลูกค้าและมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ดียิ่งขึ้น

คุณสามารถใช้แอปย้ายข้อมูลจากภายนอกจาก Shopify App Store ได้ แอปต่อไปนี้สามารถช่วยนำเข้าข้อมูลลูกค้าและคำสั่งซื้อ ได้แก่

ขั้นตอนที่ 7: (ไม่บังคับ) นําเข้ารีวิวของคุณไปยัง Shopify

คุณสามารถโอนย้ายรีวิวจากรายการสินค้า Etsy ไปยัง Shopify โดยใช้แอปจากภายนอกได้ ตัวเลือกบางส่วน ได้แก่

คุณสามารถใช้แอปย้ายข้อมูลจากภายนอกจาก Shopify App Store ได้ แอปต่อไปนี้สามารถช่วยนำเข้ารีวิว ได้แก่

ขั้นตอนที่ 8: (ไม่บังคับ) ซิงค์ร้านค้า Etsy และ Shopify ของคุณเข้าด้วยกัน

แอป Shopify Marketplace Connect อย่างเป็นทางการเป็นตัวเลือกอีกวิธีในการขายสินค้าทั้งใน Shopify และ Etsy จากที่เดียว ด้วยการซิงโครไนซ์และจัดการรายการสินค้า คำสั่งซื้อ และสินค้าคงคลังในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ

ขั้นตอนที่ 9: ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูดี

เพื่อช่วยคุณเริ่มต้นใช้งาน หน้าธีม ในส่วนผู้ดูแลจะใช้ธีมเริ่มต้นเมื่อคุณเปิดบัญชีผู้ใช้กับ Shopify คุณต้องปรับแต่งธีมของคุณเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีรูปลักษณ์ตามที่ต้องการ หากคุณต้องการปรับแต่งธีมอื่นให้กับร้านค้าออนไลน์ คุณสามารถเพิ่มผ่านส่วนผู้ดูแล Shopify ได้

หากต้องการเพิ่มธีมให้กับร้านค้าออนไลน์ ให้เลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งต่อไปนี้

เพิ่มธีมฟรีจากส่วนผู้ดูแลระบบ

ธีมฟรีพัฒนาโดย Shopify และความช่วยเหลือในการปรับแต่งธีมฟรีสนับสนุนโดย Shopify

ขั้นตอน:

เพิ่มธีมจากร้านค้าธีม

ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายได้รับการพัฒนาโดยนักออกแบบที่เป็นบุคคลภายนอก และการปรับแต่งธีมภายนอกจะมีนักออกแบบธีมเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

ขั้นตอน:

  1. เยี่ยมชมร้านค้าธีมของ Shopify และเลือกธีมที่ต้องการ หากคุณยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ฟรี ให้เลือกธีมฟรีเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกเก็บเงินใดๆ
  2. เมื่อเลือกธีมฟรีแล้ว ให้คลิก “เพิ่มธีม” หรือ “เริ่มใช้ธีมนี้” หากเลือกธีมแบบมีค่าใช้จ่าย ให้คลิก “ซื้อ” เพื่อซื้อธีมที่ต้องการ ทั้งนี้ ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายไม่สามารถขอคืนเงินได้ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าธีมดังกล่าวตรงกับความต้องการของคุณ คุณสามารถลองใช้ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายก่อนทำการซื้อได้
  3. สำหรับธีมแบบมีค่าใช้จ่าย ให้คลิก “อนุมัติ” เพื่ออนุมัติการชำระเงิน ธีมจะเพิ่มไปยังหน้าธีมของส่วนผู้ดูแลระบบ

ลองใช้ธีมแบบเสียค่าใช้จ่ายในร้านค้าของคุณ

คุณสามารถลองใช้ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายเพื่อดูตัวอย่างว่าดูเหมาะสมกับสินค้า สีของแบรนด์ และสไตล์ของคุณหรือไม่ก่อนตัดสินใจซื้อธีม ระหว่างที่แสดงตัวอย่างธีม คุณสามารถปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ได้โดยใช้ตัวแก้ไขธีม การเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามจะบันทึกไว้เมื่อคุณสั่งซื้อธีมเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถดูตัวอย่างธีมแบบมีค่าใช้จ่ายได้ถึง 19 ธีมซึ่งเปิดโอกาสให้คุณเปรียบเทียบธีมต่างๆ ได้ก่อนจะสั่งซื้อ

ขั้นตอน:

  1. เยี่ยมชมร้านค้าธีมของ Shopify และเลือกธีมแบบมีค่าใช้จ่าย
  2. คลิกลองใช้ธีม ตัวอย่างธีมจะโหลดขึ้นบนร้านค้าออนไลน์ของคุณ
  3. ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
    • หากต้องการหยุดแสดงตัวอย่างธีม ให้คลิกปิดตัวอย่าง
    • หากต้องการซื้อธีม ให้คลิก “ซื้อธีม
    • หากต้องการแก้ไขการตั้งค่าธีมโดยใช้ตัวแก้ไขธีม ให้คลิกปรับแต่งธีม

หากคุณเลือกที่จะไม่ซื้อธีมดังกล่าว ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายจะยังคงเพิ่มไปยังหน้าธีมของส่วนผู้ดูแลระบบ ธีมแบบมีค่าใช้จ่ายที่ลองใช้จะมีป้ายธีมทดลองระบุไว้

ขั้นตอนที่ 10: ตั้งค่าการจัดส่งของคุณ

คุณต้องกำหนดอัตราค่าจัดส่งและวิธีจัดส่งอย่างถูกต้องก่อนที่คุณจะเปิดตัวร้านค้า เพื่อที่คุณจะไม่ต้องเสียเวลาคืนเงินให้ลูกค้าสำหรับการเก็บเงินเกินจำนวน หรือส่งอีเมลถึงลูกค้าเพื่อขอให้ชำระเงินเพิ่มเนื่องจากคุณไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการอย่างเพียงพอซึ่งครอบคลุมค่าจัดส่ง

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดส่งและการจัดการคำสั่งซื้อ โปรดคลิก ที่นี่

ขั้นตอน:

  1. ตรวจสอบที่อยู่ของร้านค้าคุณเพื่อรับอัตราค่าจัดส่งที่ถูกต้องตามตำแหน่งที่ตั้งของคุณ หากคุณจัดส่งจากที่อื่น ให้เพิ่มที่อยู่เป็นตำแหน่งที่ตั้ง
  2. สร้างเขตการจัดส่งเพื่อใช้การจัดส่งไปยังภูมิภาค รัฐ และประเทศต่างๆ
  3. หากคุณใช้อัตราค่าจัดส่งหลังการคำนวณของผู้ขนส่ง ให้กำหนดขนาดการจัดส่งของคุณ ผู้ขนส่งหลายรายใช้การวิเคราะห์น้ำหนักตามปริมาตร (ความสูง น้ำหนัก และความลึกของบรรจุภัณฑ์) เพื่อคำนวณอัตราค่าจัดส่ง
  4. กำหนดอัตราค่าจัดส่งสำหรับเขตการจัดส่งที่คุณสร้างขึ้น
  5. เลือกกลยุทธ์การจัดส่งที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ คุณอาจพบว่าการตรวจสอบตัวเลือกบางประการเพื่อดูว่าอะไรที่ตรงกับความต้องการของคุณก่อนตัดสินใจนั้นมีประโยชน์
  6. เลือกวิธีที่คุณต้องการจัดการคำสั่งซื้อของคุณ คุณสามารถจัดการและจัดส่งคำสั่งซื้อได้ด้วยตนเองหรือใช้บริการจัดการคำสั่งซื้อที่จัดส่งคำสั่งซื้อให้คุณ

ขั้นตอนที่ 11: กําหนดค่าภาษีของคุณ

การเรียกเก็บภาษีการขายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของคุณ มีกฎและข้อบังคับเกี่ยวกับภาษีการขายที่แตกต่างกันออกไปซึ่งใช้กับสินค้าของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าร้านค้าของคุณเป็นไปตามกฎเหล่านั้น โปรดใช้เวลาสักครู่เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการกำหนดภาษีของ Shopify

การเรียกเก็บภาษีตามปลายทางการจัดส่งของคุณ

เมื่อคุณ กำหนดการจัดส่งของคุณ คุณสามารถเรียกเก็บภาษีการจัดส่งกับสินค้าของคุณตามข้อบังคับด้านภาษีในจังหวัด รัฐ หรือภูมิภาคของลูกค้า โดย Shopify จะคำนวณภาษีดังกล่าวโดยอัตโนมัติ

หากคุณจำเป็นต้องปรับภาษีด้วยตนเอง คุณสามารถทำได้ด้วยการกำหนดภาษีเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่มีข้อจำกัดด้านภาษีที่แตกต่างกัน หรือคอลเลกชันสินค้าที่เฉพาะเจาะจง

การติดตามเรื่องภาษีของคุณ

เมื่อคุณกำหนดการตั้งค่าภาษีสำหรับสินค้าของคุณ คุณต้องคำนึงถึงวิธีการติดตามภาษีของคุณตลอดปี

หากไม่แน่ใจว่าจะใช้ระบบใดเพื่อติดตามภาษีของคุณ คุณอาจต้องดูแอปสำหรับการทำบัญชีบางแอปใน Shopify App Store

ขั้นตอนที่ 12: การตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงิน

เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะสามารถชำระเงินให้คุณได้ คุณจะต้องกำหนดผู้ให้บริการการชำระเงินผู้ให้บริการการชำระเงินช่วยให้คุณรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้อย่างปลอดภัยShopify Payments พร้อมให้บริการในบางประเทศ และมีผู้ให้บริการการชำระเงินภายนอกที่รองรับเป็นจำนวนมากที่ให้บริการด้วย

ตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงิน

  1. เลือกผู้ให้บริการการชำระเงินจาก Shopify หรือจากภายนอกที่ได้รับการรองรับ
  2. เปิดใช้ Shopify Payments หรือผู้ให้บริการการชำระเงินภายนอกในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ
  3. เลือกวิธีที่คุณต้องการอนุมัติและจัดเก็บการชำระเงินเมื่อลูกค้าซื้อของจากร้านค้าของคุณ

หลังจากที่คุณตั้งค่าผู้ให้บริการการชำระเงินแล้ว คุณต้องกำหนดหน้าการชำระเงินของคุณเพื่อให้สามารถดำเนินการตามคำสั่งซื้อของลูกค้าได้

ตั้งค่าการชำระเงินของคุณ

  1. ตั้งค่าการจัดการคำสั่งซื้อของคุณและการอนุมัติการชำระเงิน
  2. เพิ่มนโยบายของร้านค้าของคุณ เพื่อให้ลูกค้าของคุณสามารถดูนโยบายของคุณได้ก่อนที่จะทำการชำระเงินให้เสร็จสมบูรณ์
  3. แก้ไขการตั้งค่าข้อมูลลูกค้าในขั้นตอนการชำระเงินของคุณ และตัดสินใจว่าคุณต้องการเก็บรวบรวมที่อยู่อีเมลเพื่ออัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมและโปรโมชันให้แก่ลูกค้าหรือไม่

ขั้นตอนที่ 13: วางคำสั่งซื้อสำหรับทดสอบบางรายการ

เมื่อคุณกำหนดค่าการตั้งค่าการชำระเงินของคุณแล้ว คุณควรลองทำธุรกรรมสักสองสามอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างใช้งานได้ การใช้คำสั่งซื้อสำหรับทดสอบจะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการที่ลูกค้าของคุณดำเนินการเมื่อพวกเขาซื้อสินค้าของคุณ คุณสามารถเข้าถึงคำสั่งซื้อทั้งหมดที่ลูกค้าสั่งได้จากหน้าคำสั่งซื้อในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ

คุณสามารถใช้คำสั่งซื้อสำหรับทดสอบธุรกรรมประเภทต่างๆ ได้ ดังนี้:

เมื่อคุณสร้างคำสั่งซื้อ คืนเงิน และจัดการคำสั่งซื้อ คุณจะเห็นอีเมลที่ลูกค้าของคุณได้รับสำหรับแต่ละการดำเนินการ คุณสามารถแก้ไขเทมเพลตสำหรับอีเมลเหล่านี้ได้จากหน้าการแจ้งเตือนในส่วนผู้ดูแล Shopify ของคุณ

ขั้นตอนที่ 14: เพิ่มพนักงานไปยังร้านค้าของคุณ

หากคุณมีพนักงานที่ช่วยคุณจัดการและบริหารร้านค้าของคุณ คุณสามารถเพิ่มพนักงานไปยังร้านค้า Shopify ของคุณได้ พนักงานแต่ละคนมีข้อมูลการเข้าสู่ระบบส่วนบุคคล นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่าสิทธิ์อนุญาตสำหรับพนักงานแต่ละคนเพื่อจํากัดการเข้าถึงในบางด้านของร้านค้าของคุณและเก็บรักษาข้อมูลที่ละเอียดอ่อนทั้งหมดให้ปลอดภัย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการพนักงาน

ขั้นตอนที่ 15: ตั้งค่าโดเมนของคุณ

เมื่อตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณ คุณสามารถซื้อโดเมนใหม่หรือคุณถ่ายโอนโดเมนที่เชื่อมโยงกับร้านค้าที่มีอยู่ของคุณไปยังบัญชีผู้ใช้ Shopify ใหม่ของคุณได้

รับโดเมนใหม่

คุณสามารถซื้อโดเมนใหม่ได้โดยตรงจาก Shopify

ขั้นตอน:

  1. ซื้อโดเมนของคุณผ่าน Shopify
  2. ตั้งโดเมน Shopify เป็นโดเมนหลักของคุณเพื่อให้โดเมนนั้นเป็นโดเมนที่แสดงให้ลูกค้าเห็นในเบราว์เซอร์ ในผลการค้นหา และในโซเชียลมีเดีย
  3. ตั้งค่าการส่งต่ออีเมลเพื่อให้ข้อความอีเมลที่ลูกค้าส่งไปยังที่อยู่อีเมลที่มีโดเมนแบบกำหนดเองของคุณเปลี่ยนเส้นทางไปยังที่อยู่อีเมลส่วนบุคคลของคุณ

เชื่อมต่อหรือถ่ายโอนโดเมนที่มีอยู่ไปยัง Shopify

หากคุณมีโดเมนที่มีอยู่แล้ว ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อนำทางโดเมนของคุณไปยังร้านค้า Shopify

คุณสามารถใช้โดเมนที่มีอยู่ได้ แต่โครงสร้างลิงก์ของ Shopify ของแต่ละหน้ามีแนวโน้มที่จะแตกต่างจากบริการเดิมของคุณ ซึ่งหมายความว่าลิงก์เก่าที่เชื่อมโยงไปยังบางหน้าอาจไม่โหลดให้ลูกค้าเห็น ตัวอย่างเช่น หน้าเก่าเกี่ยวกับนโยบายการจัดส่งของคุณอาจมี URL example.com/policies/shipping-policy แต่บน Shopify หน้านี้อาจเป็น example.com/pages/shipping-policy

เพื่อช่วยให้ลูกค้าไม่เจอกับหน้าที่ผิดพลาด ก่อนที่คุณจะถ่ายโอนโดเมนของคุณ คุณสามารถตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง URL ไว้ล่วงหน้าไสำหรับหน้าใดๆ ที่ลูกค้าของคุณอาจบุ๊กมาร์กไว้หรือลิงก์จากแหล่งข้อมูลจากภายนอก ด้วยวิธีนี้ หากลูกค้าเยี่ยมชมลิงก์เก่าหลังจากที่คุณถ่ายโอนโดเมน ระบบก็จะเปลี่ยนเส้นทางไปยังลิงก์ใหม่แทนการแสดงหน้าที่ผิดพลาด

ขั้นตอนที่ 16: (ไม่บังคับ) ตั้งค่า SEO ของคุณเพื่อความสำเร็จ

คุณสามารถตั้งค่าร้านค้า Shopify ของคุณเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ ในเครื่องมือค้นหา (SEO) เพื่อรักษาอันดับในผลการค้นหาได้

ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง

คุณสามารถตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางสำหรับหน้าสำคัญทั้งหมดของคุณเพื่อช่วยรักษาอันดับการค้นหา SEO ของคุณ หลังจากเปิดใช้งานร้านค้าของคุณแล้ว คุณอาจต้องการตรวจสอบว่าหน้าใดบนเว็บไซต์ของคุณที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด และตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าเหล่านั้นเปลี่ยนเส้นทางไปยังร้านค้า Shopify ของคุณแล้ว นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ไฟล์ CSV เพื่อนําเข้าการเปลี่ยนเส้นทางของคุณ

ขั้นตอน:

  1. จากส่วนผู้ดูแล Shopify ให้ไปที่ ร้านค้าออนไลน์ > การนําทาง
  2. คลิก ดู URL สำหรับการเปลี่ยนเส้นทาง
  3. คลิก "สร้าง URL สำหรับเปลี่ยนเส้นทาง"
  4. ในช่องเปลี่ยนเส้นทางจาก ให้ป้อน URL ต้นทางที่คุณต้องการเปลี่ยนเส้นทางผู้เข้าชม
  5. ในช่องเปลี่ยนเส้นทางไปยัง ให้ป้อน URL ปลายทางของการเปลี่ยนเส้นทางผู้เข้าชม หากคุณต้องการเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าแรกของร้านค้า ให้ป้อน /
  6. คลิกบันทึกการเปลี่ยนเส้นทาง

การยืนยันว่าการเปลี่ยนเส้นทางของคุณใช้งานได้

หลังจากที่คุณตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางและเปิดใช้งานร้านค้าแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนเส้นทางนั้นถูกต้องโดยป้อน URL เดิมในเว็บเบราว์เซอร์และยืนยันว่าเปลี่ยนเส้นทางไปยัง URL เป้าหมาย ควรมีการตรวจสอบหน้าที่มีการเข้าชมมากที่สุดในร้านค้าอื่นๆ ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังร้านค้า Shopify ของคุณแล้ว

การแก้ไขคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อของคุณ

คำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อคือข้อความสั้นๆ ที่แสดงในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา คุณสามารถกำหนดคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อสำหรับเว็บเพจ หน้าสินค้า หน้าคอลเลกชัน และโพสต์บล็อกได้ใน Shopify ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแต่ละหน้ามีคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อที่ไม่ซ้ำกันซึ่งใช้ภาษาตรงๆ และเข้าใจง่าย คำอธิบายที่ดีจะทำให้ผู้คนคลิกลิงก์ไปยังร้านค้าของคุณมากขึ้น

โดยส่วนผู้ดูแล Shopify จะมีพื้นที่หลากหลายซึ่งคุณสามารถแก้ไขคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อได้ พิจารณาแก้ไขคำอธิบายเนื้อหาอย่างย่อต่อไปนี้เพื่อช่วยปรับร้านค้าของคุณให้เหมาะสมสำหรับเครื่องมือค้นหา:

ตรวจสอบยืนยันและส่งแผนผังเว็บไซต์ของคุณด้วย Google

ร้านค้า Shopify ทั้งหมดจะสร้างไฟล์ sitemap.xml ซึ่งมีลิงก์ที่เชื่อมไปยังสินค้า รูปภาพสินค้าหลัก หน้า คอลเลกชัน และบล็อกโพสต์ทั้งหมดของคุณโดยอัตโนมัติ โดยเครื่องมือค้นหา เช่น Google และ Bing จะใช้ไฟล์ดังกล่าวในการทำดัชนีให้กับเว็บไซต์ของคุณเพื่อที่หน้าร้านค้าของคุณจะได้แสดงในผลการค้นหา การส่งไฟล์แผนผังเว็บไซต์ของคุณให้กับ Google Search Console จะช่วยให้ Google สามารถค้นหาและทำดัชนีให้กับหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้

ไฟล์แผนผังเว็บไซต์จะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ คุณสามารถค้นหาได้ที่ไดเรกทอรีรากของโดเมนร้านค้า Shopify เช่น johns-apparel.com/sitemap.xml

ไฟล์แผนผังเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นจะเชื่อมโยงกับแผนผังเว็บไซต์แยกย่อยสำหรับสินค้า คอลเลกชัน บล็อก และเว็บเพจ ไฟล์แผนผังเว็บไซต์จะอัปเดตโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเพิ่มเว็บเพจ สินค้า คอลเลกชัน รูปภาพ หรือบล็อกโพสต์ใหม่ไปยังร้านค้าออนไลน์ Shopify ของคุณ

ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลและทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณอาจต้องใช้เวลา ทั้งนี้ Google ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไร

หลังจากที่เว็บไซต์ของคุณเปิดตัวแล้ว Google อาจใช้เวลาสองสามวันถึงสองสามสัปดาห์ในการจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณ หากต้องการตรวจสอบสถานะ คุณสามารถค้นหา Google เพื่อตรวจสอบสถานะดัชนีได้โดยพิมพ์ site: ตามด้วยโดเมนของคุณในแถบค้นหาของ Google—ตัวอย่างเช่น site:shopify.com

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้นหาและส่งแผนผังเว็บไซต์ของคุณไปยัง Google

การใช้แอปเพื่อ SEO

คุณสามารถใช้แอปเพื่อช่วย SEO ของเว็บไซต์ได้ แอป SEO จะช่วยปรับรูปภาพของคุณให้เหมาะสม เพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ และตรวจสอบลิงก์ที่เสียหาย

เรียกดูแอป SEO ใน Shopify App Store

พร้อมเริ่มต้นการขายด้วย Shopify แล้วหรือยัง

ทดลองใช้งานฟรี